คลิกดาวโหลดภาพขนาดใหญ่ได้ที่นี่
(๑๒ ม.ค.๕๗) ดาวโหลดฟังคลิปเสียง mp3
ศึกษาข้อธรรมะจากหลวงพ่อปราโมย์ ปาโมชโช เพิ่มเติมได้ที่
http://www.dhamma.com/ และ http://www.dhammada.net/
คลิกดาวโหลดภาพขนาดใหญ่ได้ที่นี่
ศึกษาข้อธรรมะจากหลวงพ่อปราโมย์ ปาโมชโช เพิ่มเติมได้ที่
http://www.dhamma.com/ และ http://www.dhammada.net/
ดาวน์โหลดอ่านหนังสือ นาทีทองในสังสารวัฏ pdf
“ภาพต่อไปนี้” จะมีขนาดยาว
อาจใช้เวลาในการโหลดหน้านี้ซักครู่นะ แต่ว่าคุ้มค่ามากๆๆๆ
สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมเพิ่มเติมได้จาก http://www.dhamma.com/
ดาวโหลดหนังสือ วิธีการปฏิบัติธรรม คลิกที่นี่
“ภาพต่อไปนี้” จะมีขนาดยาว
อาจใช้เวลาในการโหลดหน้านี้ซักครู่นะ แต่ว่าคุ้มค่ามากๆๆ
สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์
http://www.dhamma.com/
ดาวโหลดหนังสือ คู่มือการปฏิบัติธรรม อ่านได้ที่นี่ค่ะ
https://goo.gl/4ZZTQP
ดาวโหลดคลิปเสียงฉบับเต็มฟังนี้ได้ที่นี่
https://goo.gl/Sfu2Bi
ฟังเนื้อหาท่อนนี้แบบคลิปวีดีโอได้ที่นี่
(8 นาที) เพราะคือความจริงของทุกสิ่ง
http://www.youtube.com/watch?v=bYCyRZKSfl0
สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช เพิ่มเติมได้ที่
http://www.dhamma.com
เว็บไซต์หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
http://www.dhamma.com
วันก่อนนั่งดูวีดีโอที่ลพ.ปราโมทย์ ปาโมชโช เทศน์ที่ม.ขอนแก่น
น่าฟังมากทีเดียวค่ะ เอามาฝากค่ะ
เราฝึกของเราไปเรื่อยนะ ถึงวันนึงเราเข้าใจความจริงสิ่งที่เรียกว่าตัวเราคือรูปกับนามกายกับใจ จริงๆก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกธาตุข้างนอก เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลเป็นอนูเล็กๆของจักรวาลอันนึง
แต่ความไม่รู้ ทำให้เราไปขโมยเอามา ขโมยธรรมชาติรูปนามส่วนหนึ่งของจักรวาลออกมา เรียกว่าตัวเราขึ้นมา มีตัวเค้าขึ้นมา
แต่พอเราหัดเจริญสติรู้ลงที่กายรู้ลงที่ใจเรื่อยๆ
วันนึงเห็นกายนี้ใจนี้กับโลกข้างนอกก็อันเดียวกัน เป็นของไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นอนัตตาเหมือนกัน อย่างกายนี้ก็เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนกันแผ่นฟ้าแผ่นดิน เหมือนกับคนอื่นสัตว์อื่นนั่นเอง ส่วนจิตใจก็เป็นนามธาตุนามธรรมเรียกวิญญาณธาตุ ก็เป็นธาตุอีกอันหนึ่ง
ความไม่รู้ทำให้เราไปขโมยเอาขันธ์ ๕ เอามาจากโลกเอามาเป็นของเรา พระพุทธเจ้าเลยสอนให้รู้กายให้รู้ใจเนืองๆ วันหนึ่งเห็นกายเห็นใจนี้กับโลกข้างนอกมันอันเดียวกันนี่ เข้าใจความจริงแล้วมันจะปล่อยวาง มันจะคืน จะสลัดคืนกายคืนใจ คืนเจ้าของคืนโลกนั่นเอง คืนจักรวาลเค้าไป
แล้วมันจะเกิดธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง เมื่อมันปล่อยวางแล้วมันพ้นความปรุงแต่ง มันจะไปเห็นสภาวะที่เหนือความปรุงแต่ง
เพราะงั้นเวลาคนที่เข้าไปเห็นสภาวะที่เหนือความปรุงแต่งแล้ว พอเราย้อนมาดู พอกลับมาดูโลกธาตุข้างนอก มันเห็นเสมอกันหมด ไม่มีคนมีสัตว์มีอะไร แต่ก็มีโดยสมมุติหรอก เพราะงั้นการกระทำอย่างพระอรหันต์สมัยพุทธกาล หรือครูบาอาจารย์องค์ไหนท่านภาวนาดีๆ ท่านไม่เห็นมันมีคน ไม่มีคนมีสัตว์ แต่ว่าอนุเคราะห์สงเคราะห์ไปงั้นแหละ เมื่อจิตของท่านอยู่กับธรรม ก็ไม่มีคนมีสัตว์อะไร มันก็มีความสุข
แต่ถึงคราวจำเป็นต้องออกมาสัมผัสกับโลก เอาขันธ์ออกมาใช้นะ เป็นความลำบากขันธ์ต้องกลับมายุ่งกับโลก แต่ก็ทำไปเพื่อว่าสงเคราะห์ไปอย่างนั้นแหละ สงเคราะห์ทั้งๆที่เห็นอยู่แล้วว่าไม่มีอะไรหรอก ไม่มีคนมีสัตว์หรอก แต่ความเมตตากรุณามันเต็มเปี่ยม ประกอบด้วยปัญญาด้วย เพราะงั้นอุเบกขาก็แนบอยู่เลย
คนไหนสงเคราะห์ก็ได้สงเคราะห์ไป คนไหนสงเคราะห์ไม่ได้รอไว้ก่อน วันเวลาจะค่อยๆให้บทเรียนกับแต่ละคน แต่ละคนแสวงหาความสุข บางคนมุ่งความสุขมากจนไม่ยอมดูทุกข์ ปฏิบัติไม่เอา ไม่เอาเรื่องปฏิบัติเลย ก็ต้องให้โลกนี้ รวมทั้งให้นรกนะ อบรมสั่งสอนให้ จิตเราจะผ่านความทุกข์ แต่ละคนจะต้องผ่านความทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งวันนึงมันเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตนี้ทุกข์ล้วนๆนะ จะค่อยๆวาง ค่อยๆวางลงไป งั้นถ้าจะพูดไปแล้ว การเดินทางในสังสารวัฏนี่ ก็คือการอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ความจริงของชีวิตของธรรมชาตินั่นเอง
เรียนรู้ไปเรื่อย เที่ยวหาความสุขเที่ยวหนีความทุกข์ไปเรื่อย แต่บทเรียนที่ได้รับก็คือ สุขก็ไม่จริงมีแต่ทุกข์ ทุกข์เยอะสุขน้อย สุขแป๊ปเดียวเดี๋ยวทุกข์อีกแล้ว ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ วันนึงใจโอย.. มันเข็ดขยาดนะเข็ด
หลวงปู่เทศก์ท่านเคยเขียนไว้ว่า ท่านตายไปท่านคงไม่เกิดอีกแล้วล่ะ ท่านเขียนบันทึกของท่านนะ คนอื่นเอามาเผยแพร่หลังจากท่านมรณะภาพไปแล้ว บอกเราคงไม่ต้องเกิดอีกแล้วล่ะ เพราะว่าเราเห็นแล้วว่ามันมีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย
ตราบใดที่เรายังเห็นว่าทุกข์บ้างสุขบ้างนะ เรายังได้รับบทเรียนไม่พอ มีความสุขซักนิดนึงหลงระเริงไป ระเริงแป๊ปเดียวเดี๋ยวปัญหาใหม่มาอีกแล้ว ความทุกข์ใหม่เข้ามาจ่อเอาอีกแล้ว แก้ปัญหาแก้ทุกข์นี้ยังไม่เสร็จอีกตัวนึงมารอคิวอีกแล้ว ช่วงไหนความทุกข์ประดังเข้ามามากก็บอกว่าเราทุกข์ ช่วงไหนมันห่างออกไปนิดนึงเราก็บอกว่าช่วงนี้สุข สุขนิดเดียวเพื่อรอจะทุกข์อีกแล้ว ความสุขของมนุษย์ไม่มีหรอก
ความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตลอดเราวิ่งไม่ทัน ตอนเด็กๆเคยรู้สึกไหม ถ้าเรียนหนังสือจบแล้วจะสุข ถ้าอย่างนี้แล้วจะสุข ถ้าอย่างนี้แล้วจะสุข ถ้าอย่างนี้ตลอดชีวิตเลย ตอนเด็กๆนะถ้าเรียนหนังสือจบแล้วจะมีความสุข จบปริญญาตรีแล้วได้ด๊อกเตอร์จะมีความสุข จบมาแล้วได้ง่ายดีๆทำ ถ้าได้งานดีๆทำจะมีความสุข ได้งานดีแล้ว ถ้ารวยๆแล้วจะมีความสุข ถ้าตำแหน่งใหญ่ๆจะสุขอีก มีแต่ถ้าจะสุข ถ้าอย่างนี้แล้วจะสุข ถ้าอย่างนี้จะสุข ถ้ามีแฟนสวยๆหล่อๆ รวยๆเก่งๆ นิสัยดีๆแล้วจะสุขมีแต่ถ้าอย่างนี้แล้วจะสุข มีแฟนแล้วถ้ามีลูกไบรท์ๆจะมีความสุข มีแต่ถ้าอีกแล้ว
วิ่งตามความสุขทั้งชีวิตเลยวิ่งไม่ทัน มันน่าสงสารนะ คนในโลกนะ มันถูกหลอก มารเอาความสุขมาหลอกให้เราวิ่งพล่านๆไปนะ ตกเป็นขี้ข้ามันจิกหัวเราตลอดเวลา เห็นแล้วน่าอนาจ เห็นแล้วสังเวชนะ จนวันนึงแก่แล้ว แก่แล้วนี้มันจะปวดจะเมื่อยนะ อยู่เฉยๆมันก็ปวดก็เมื่อยในตัวของมัน ยังนึกเลยวันไหนมันไม่เจ็บไมปวดไม่เมื่อยนะมันคงมีความสุข พอเจ็บหนักๆนะ เจ็บหนักๆนี่ โอย…รักษาไม่ไหวแล้ว ทรมานมากเลย รู้สึกอีกถ้าตายซะได้จะมีความสุข ไปโน่นแล้วข้ามไปอีกชาตินึงแล้ว
ไล่หาความสุขตั้งแต่เล็กๆเลย ถ้าได้อย่างนี้จะสุขได้อย่างนี้จะสุข จนสุดท้ายเลยถ้าตายซะได้คงจะมีความสุข ความสุขนี้เป็นของที่หลอกๆ เหมือนภาพลวงตาพวกนี้ หลอกตาอยู่ไกลๆ วิ่งไปเรื่อย หาไปเรื่อย ตะครุปไป หนีออกไปอีกแล้ว
ในการที่เราเข้ามารู้ใจของเรานะ เรียนรู้กายรู้ใจนะ เราจะเห็นความจริงของชีวิตเรา ชีวิตเราเราอยากให้มีความสุข อยากให้จิตใจมีความสุข หาทางตอบสนองตลอดเวลาเลย แล้วก็ไม่อิ่มไม่เต็ม จะขาดตลอดจะพล่องตลอด พระพุทธเจ้าถึงสอน นัตถิ ตัณหา สมา นที ห้วงน้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี อยากยังไงก็ไม่สมอยาก อยากไปเรื่อยแล้วก็ดิ้นไป อยากแล้วก็ดิ้นไป ทุกข์ตั้งแต่เกิดยันตาย เที่ยวหาความสุข เที่ยววิ่งหนีความทุกข์
ถ้าเรามีสติ แค่เรารู้กายเราจะเห็นเลย กายนี้ทุกข์ทั้งวัน ถ้าเราไม่มีสติเราจะรู้สึกร่างกายนี้นานๆทุกข์ทีหนึ่ง เจ็บป่วยแล้วถึงจะทุกข์ ถ้ามีสตินั่งอยู่นี่เดี๋ยวก็ทุกข์แล้ว ต้องเปลี่ยนอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอนต้องเปลี่ยนอิริยาบทตลอดเพราะมันทุกข์ นั่งแล้วมันเมื่อยใช่ไหม มันทุกข์ ต้องเปลี่ยน
ละเอียดเข้าไปอีก หายใจเข้าหายใจออกก็เพื่อแก้ทุกข์นะ หายใจไม่ออกเลยทุกข์หนักเลย หายใจเข้าอย่างเดียวก็ทุกข์ หายใจออกอย่างเดียวก็ทุกข์ แค่หายใจเข้าหายใจออกก็หายใจแก้ทุกข์นะ คล้ายๆเราหายใจแขม่วๆๆหนีความทุกข์ไปทุกวัน หรือเราเปลี่ยนอิริยาบทไปเรื่อย นอนกลางคืน นอนในห้องพลิกไปพลิกมาเพราะมันทุกข์ ดิ้นหนีความทุกข์ตลอดชีวิตเลย วันหนึ่งหมดแรงดิ้นนะนอนเฉยๆหมดแรงดิ้น ความทุกข์ขยี้ตายเลย
ฉะนั้นชีวิตจริงๆทุกข์มากเลย แต่คนที่ไม่เคยเจริญสติจะรู้สึกว่ามันสุขบ้างทุกข์บ้าง เที่ยววิ่งหาความสุข เที่ยววิ่งหนีความทุกข์ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าคนไหนใจกล้า มีสติรู้กายมีสติรู้ใจ เห็นมันเป็นตัวทุกข์ล้วนๆเลย วันหนึ่งใจเราปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ มันจะพบความสุขอีกชนิดนึง
เคยมีคนหนึ่งนะ คนๆนึง ตอนเด็กๆอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ มีความรู้สึกว่าบ้านของพ่อกับแม่ ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา วันนึงเราโตขึ้นเราจะมีบ้านของตัวเอง ต่อมาย้ายบ้าน ยังไม่มีเงินซื้อบ้านไปเช่าบ้าน เช่าบ้านก็รู้อีก บ้านนี้เช่าเขาอยู่ยังไม่ใช่บ้านที่แท้จริงต้องเที่ยวหาไปอีก ทำงานไปเก็บเงินไป ไปซื้อบ้านได้แต่ที่ดินยังเช่าอยู่ บ้านเป็นของตัวเองแล้วแต่ที่ดินยังเช่าอยู่ รู้อีกว่าบ้านนี้ยังไม่ใช่บ้านที่แท้จริง วันนึงมีเงินไปซื้อทั้งที่ทั้งบ้านได้ รู้สึกว่าเราจะอยู่ตรงนี้ตลอดชีวิตแล้ว อยู่ไปซักพักนึงรู้สึกอีกแล้วยังไม่ใช่บ้านที่แท้จริง ใจเรานี่มันจะมีความผลักดันนะให้หาไปเรื่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆเคยรู้สึกไหม อย่างมาทำงานทำตรงนี้แล้วคิดว่าอยู่ตรงนี้แหละ ถึงช่วงนึงรู้สึกว่าแหมมันยังไม่ค่อยเหมาะ
กระทั่งหลวงพ่อนะ หลวงพ่อมาอยู่วัด แต่เดิมมาอยู่วัด คิดว่าเรามาทำวัดที่นี่ขึ้นมา แล้วเราจะอยู่ เราไม่ต้องไปไหนแล้ว นี่จะเป็นบ้านหลังสุดท้ายจะเป็นบ้านที่แท้จริงสักที พอมาอยู่ไม่กี่วันรู้สึกแล้วไม่ใช่นะไม่ใช่
งั้นเราจะเที่ยวหาที่ๆเราจะพ้นทุกข์จริงๆ เที่ยวหาไปเรื่อย นี่คือการเปรียบเทียบ บ้านแต่ละหลังก็คือภพทั้งหลายนั่นเอง เที่ยวหาไปอยู่ในภพนี้แล้วมันก็ยังไม่ใช่ อยู่ในภพนี้มันก็ยังไม่ใช่
อย่างเป็นเทวดานะ เทวดาเวลาจะตาย เพื่อจะบอกเลยให้ไปเกิดเป็นคนนะเป็นมนุษย์นั่นแหละดี พอมนุษย์จะตายพรรคพวกบอกไปเป็นเทวดานะ เห็นไหมมันหาบ้านไปเรื่อย หาภพไปเรื่อยหาไปเรื่อยๆเลยเราไม่พบบ้านที่แท้จริงใจนี้จะหาความสุขหาความสงบที่แท้จริงไม่ได้ เคยรู้สึกไหม
วันใดที่เราปล่อยวางจิตได้ เราถึงจะเจอบ้านที่แท้จริง
ฟังคลิปเสียงทาง Youtube
กาย ใจ สรรพสิ่ง และความทุกข์
(หรือถ้าภาพไม่ขึ้น ให้โหลดหน้านี้ใหม่อีกทีนึงนะคะ)
แท้จริงจิตของคนและสัตว์ทั้งหลาย จะส่งออกไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ราวกับท่อนไม้แช่น้ำ แล้วจิตจะเกิดการกระเพื่อมหวั่นไหว ยินดียินร้ายไปกับอารมณ์อย่างไม่มีทางรู้เท่าทันได้เลย
ต่อเมื่อศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จนเกิดสติรู้เห็นสภาวธรรมได้แล้ว จะรู้สึกว่าอารมณ์ก็เป็นอันหนึ่ง จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง คล้ายกับเห็นว่ากาย เวทนา และจิตสังขารก็ทำงานโลภโกรธหลงไป
โดยมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเป็นผู้รู้ผู้เห็นธรรมที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น และเห็นว่าบางคราวธรรมชาติรู้ก็แยกจากอารมณ์ บางคราวธรรมชาติรู้ก็ไหลรวมเข้ากับอารมณ์
เมื่อศึกษามาถึงจุดนี้บางท่านก็เกิดความสงสัยว่าควรจะรู้อารมณ์ที่ปรากฏอยู่กลางอกเป็นก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง หนักบ้างเบาบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง หรือควรตามรู้ธรรมชาติรู้ที่เหมือนจะอยู่ด้านบนแถวๆ ศีรษะดี เรื่องนี้ขอเรียนว่าถ้าสติจะระลึกรู้อะไรก็รู้อันนั้น อย่าจงใจรู้อันใดอันหนึ่ง
เพราะเราไม่ได้เอาอะไรสักอย่างเดียว
เมื่อเจริญปัญญาเรียนรู้จิตใจตนเองมากเข้าๆ ก็จะเห็นอีกว่าจิตใจจะถูกยึดถือและบีบเค้นอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เมื่อเจริญปัญญามากขึ้นไปอีก จนถึงขั้นที่สติตามรู้สภาวธรรมได้เป็นอัตโนมัติแล้ว จะเห็นว่าทันทีที่ตื่นนอน งานแรกที่ทำก็คือการหยิบฉวยจิตขึ้นมาศึกษาพิจารณา และเกิดการบีบคั้นจิตอยู่ตลอดเวลาด้วย
ทั้งจะพบว่าจิตพร้อมจะหยิบฉวยจิตได้โดยง่ายแต่ปล่อยวางไม่เป็น
เมื่อเจริญปัญญาจนถึงขีดสุด คือรู้แจ้งในความเป็นไตรลักษณ์ของจิตแล้ว ก็เท่ากับการรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง
เพราะจิตเป็นตัวทุกข์ตัวสุดท้ายที่จะปล่อยวางได้
จากนั้นจะเห็นว่า จิตเกิดการปล่อยวางก้อนทุกข์ที่กลางอก พร้อมทั้งสลัดทิ้งธรรมชาติรู้ที่ตั้งอยู่เบื้องบนทิ้งไปพร้อมๆกัน ถึงจุดนี้จิตใจจะเป็นอิสระเพราะไม่ยึดถืออะไรเลย
จิตจะได้สัมผัสกับความสุขของนิพพานที่ยิ่งใหญ่ เป็นอันจบการศึกษาพระพุทธศาสนาแต่เพียงเท่านี้ นี้คือการรู้แจ้งอริยสัจจ์ที่ชัดเจน หมดจนถึงขีดสุด
ภายหลังที่จบการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เพราะเกิดปัญญารู้แจ้งอริยสัจจ์แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่จะอยู่กับโลกในลักษณะของบัวที่ไม่ติดน้ำ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทำหน้าที่ไปอย่างเดียวกับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในการรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖
แต่อารมณ์ทั้งหลายจะมีลักษณะเหมือนสิ่งที่เคลื่อนไหวไปในอากาศที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดไปกระทบกระทั่งกับอารมณ์ทั้งหลายนั้นที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ในจิตใจขึ้นมาได้อีก เพราะปล่อยวางจิตที่จะรองรับความทุกข์ทิ้งไปได้แล้ว
หลังจากที่ได้ศึกษาบทเรียนทั้ง ๓ จนจบแล้ว จิตก็พ้นจากกองทุกข์คือพ้นจากขันธ์ แต่ขันธ์ก็ยังคงไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาอยู่ดังเดิม ดังนั้นการเสวยเวทนาทางกายจึงยังมีอยู่แต่ไม่มีการเสวยเวทนาทางใจอีก
แม้ใจจะมีความสุขมากเพียงใด ใจก็ไม่ยึดถือในความสุขนั้น คงอยู่กับความสุขนั้นดังดอกบัวที่ไม่เปียกน้ำอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ถึงจุดนี้ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชอบ การมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าติดใจ
เพียงมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเหมือนคนที่ทำงานรับจ้างเสร็จแล้วนั่งเล่นๆ รอรับค่าจ้างอยู่
และค่าจ้างนั้นก็คืออนุปาทิเสสนิพพาน หรือความสิ้นขันธ์อันเป็นกองทุกข์นั่นเอง
…
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ดาวโหลดหนังสือ
วิมุตติมรรค pdf
~~~