เพราะอะไร ?
Category Archives: CartoonDhamma
(ภาพการ์ตูน) เพียงแค่ปล่อยมือ
“ภาพต่อไปนี้” จะมีขนาดยาว
อาจใช้เวลาในการโหลดหน้านี้ซักครู่นะ แต่ว่าคุ้มค่ามากๆๆๆ
สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมเพิ่มเติมได้จาก http://www.dhamma.com/
ดาวโหลดหนังสือ วิธีการปฏิบัติธรรม คลิกที่นี่
หากท่านสนใจนำไปเผยแผ่ต่อขอได้โปรดเผยแผ่ทั้งหมดในภาพเดียว เพื่อให้เนื้อหาและภาพอยู่ด้วยกันครบถ้วนในกาลเวลาต่อๆไป (-/\-)
(ภาพการ์ตูน) สู่ความสิ้นทุกข์
“ภาพต่อไปนี้” จะมีขนาดยาว
อาจใช้เวลาในการโหลดหน้านี้ซักครู่นะ แต่ว่าคุ้มค่ามากๆๆ
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์
http://www.dhamma.com/
ดาวโหลดหนังสือ คู่มือการปฏิบัติธรรม อ่านได้ที่นี่ค่ะ
https://goo.gl/4ZZTQP
https://www.facebook.com/notes/กลม-กลม/ภาพการ์ตูน-สู่ความสิ้นทุกข์/661146490637813
หากท่านสนใจนำไปเผยแผ่ต่อขอได้โปรดเผยแผ่ทั้งหมดในภาพเดียว
เพื่อให้เนื้อหาและภาพอยู่ด้วยกันครบถ้วนในกาลเวลาต่อๆไป (-/\-)
ฉบับการ์ตูน ขันธ์๕ (แบบเข้าใจง่ายและละเอียด)
(ฉบับการ์ตูน) อ่านนิทานเรื่อง ลิงเฝ้าสวน
ทีนี้เราก็มาดูอุทยานบาล คนเฝ้าสวนของพระราชา
คือเฝ้าพระราชอุทยาน
ท่านผู้นี้ก็มีความซื่อสัตย์
ซื่อตรงต่อหน้าที่ทำหน้าที่ไม่ให้บกพร่อง
จะว่ากลัวพระอำนาจก็แล้วแต่นะ ถ้าทำผิดดีไม่ดีก็ตัดศีรษะเลย
แต่ว่าอาจจะซื่อสัตย์ทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้อง
ทีนี้ในเมืองก็เกิดมีงานนักขัตฤกษ์ขึ้นมา
ท่านผู้นี้ก็มาคิด เอ… เรานี้ก็อยากจะไปเที่ยวซะบ้าง
จะทำไงล่ะเราก็ต้องรดน้ำพรวนดินดูแลสวน
จะขาดไม่ได้จะไปซักวันสองวันสามวัน
มันก็เสียงาน สวนต้นไม้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้
ทำไงดี อยากจะเที่ยวก็เที่ยวละทิ้งหน้าที่ก็ไม่ได้
นึกไปนึกมานึกออก ..อ๋อ..
เรามีวานรอยู่ฝูงหนึ่งอยู่ในสวนของเรานี่
วานร ก็คือ ลิง
ทีนี้ว่าลิงทั้งหลายก็เป็นธรรมดาต้องมีหัวหน้า
เค้าเรียกอะไรจ่าฝูงใช่ไหม จ่าฝูงหรือหัวโจกก็แล้วแต่ล่ะ
โดยมากหัวโจกใช้ในทางไม่ค่อยดี ก็เรียกจ่าฝูง
ทีนี้ก็มีลิงอยู่ฝูงหนึ่ง แล้วก็มีจ่าฝูง
นายอุทยานบาลคิดขึ้นมา
เอ้อ..ได้การแล้ว
ลิงนี่ฉลาด พอจะทำงานได้
ก็เลยเรียกหัวหน้าลิงจ่าฝูงมา
“เออนี่นะ
เราเนี่ยอยากจะไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์ซักสองสามวัน
แล้วห่วงสวนเนี่ย พวกเธอนี่ก็อยู่ในสวนอาศัยสวนมาเราก็อยู่ด้วยกันเนี่ย
จะให้สวนมันดีก็ต้องช่วยกันรักษา เธอจะพอช่วยเราได้ไหม”
“ด้วยอะไรล่ะ?”
ก็บอกว่า
“เนี่ย มาช่วยรดน้ำต้นไม้ให้หน่อย”
“โอ้.. ได้สิแค่นี้
พวกเราก็รักสวนนี้เหมือนกัน อยากจะให้งดงาม
แล้วก็อยากแทนคุณของท่าน ท่านก็ช่วยพวกเรามาตลอด”
ก็เลยตกลงเอ้าลิงรับแล้วรับปาก จะไปบอกพวกฝูงลิงให้
ทีนี้นายอุทยานบาลก็เลยบอกวิธีงานที่จะต้องทำ
ว่าเออการรดน้ำทำอย่างนั้นนะ มีถังน้ำอยู่ที่นั่นที่นั่น
ถึงเวลานั้นเช้าหรือตอนไหนก็ไม่รู้แหละ
เค้าก็บอกเวลาไปให้พาฝูงลิงเนี่ยเอามารดน้ำ
ไปตักน้ำที่โน่นนะ ใช้กระป๋องเหล่านี้นะ แล้วก็มารดต้นไม้เหล่านี้นะ
ตามเวลานี้อะไรนี้ก็บอกไป
หัวหน้าลิงก็รับปากอย่างดี
คนเฝ้าสวนก็สบายใจ เบาใจได้ก็เป็นอันว่า
ไปในเมือง ไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์
ฝ่ายหัวหน้าลิงนี่ก็ฉลาด
ถึงเวลาก็เรียกฝูงลิงมาบอกว่า
“เออเนี่ยพวกเราอยู่ในสวนมาช่วยกันนะ
ดูแลรักษารดน้ำต้นไม้กันหน่อย วันนี้นายเราไม่อยู่”
“เอ้ามาช่วยกันสิ”
เอ้าจะตักน้ำก็เอาพวกถังน้ำหรือว่ากระบวยอะไรเนี่ย
เค้าเรียกอะไรที่จะไปรดน้ำต้นไม้ บัวรดน้ำหรือถังน้ำก็แล้วแต่
หยิบกันมา ไปตักน้ำ
พวกฝูงลิงก็พากันไปถึงเดินกันไป
พอจะเริ่มงานหัวหน้าลิงก็บอก
“หยุดๆ เดี๋ยวก่อน”
“อ่าวทำไมละ เดี๋ยวสิ”
ก็บอกว่า
“การที่จะรดน้ำต้นไม้นี่นะเราก็ต้องรู้จักประหยัดน้ำด้วย
แล้วก็ต้องรู้จักรดให้มันเหมาะสมให้ได้ประโยชน์ดีที่สุด
เพราะฉะนั้นเราจะรดให้เหมาะ”
ทำยังไงจึงจะเหมาะ ?
ก็คือว่าต้นไม้เนี่ยเป็นธรรมดาเค้าต้องการน้ำมากน้อยไม่เท่ากัน
ฉะนั้นเราจะต้องรดน้ำให้ตามความต้องการของต้นไม้
ต้นไหนต้องการน้ำมาก เราก็รดน้ำมาก
ต้นไหนต้องการน้ำน้อย เราก็รดน้ำน้อย
เออ…แล้วจะทำยังไงจึงจะรดได้ผล
เออ…ก็ต้องแบ่งงานกันทำ
ก็มาเรียนรู้วิธีการ…
ทำไงจะรู้ความต้องการของต้นไม้
ธรรมดาต้นไม้ไหนรากยาวก็ต้องการน้ำมาก
ต้นไม้ต้นไหนรากสั้นก็ต้องการน้ำน้อย
เราก็รดไปตามความต้องการของต้นไม้
ทีนี้ทำไงจะรู้ความต้องการ
ก็ต้องถอนมันขึ้นมาดู
ทีนี้คนหนึ่งจะต้องรดต้นไม้ให้พอดีกับความต้องการน้ำ
คนหนึ่งก็ต้องดูรากไม้ว่ายาวหรือสั้น
เราก็ต้องแบ่งงานกันทำ
เพราะฉะนั้นก็จัดวานรนี้เป็นคู่ๆ
ตัวหนึ่งก็เอาบัวรดน้ำหรือว่ากระป๋องน้ำเนี่ยไปตักน้ำ
อีกตัวหนึ่งก็มาอยู่ที่โคนต้นไม้
พอตัวที่ตักน้ำมาถึงจะรดน้ำมากหรือน้อย
ไอ้เจ้าตัวที่อยู่ที่โคนต้นไม้
ก็ถอนต้นขึ้นมาดู
แล้วก็บอกว่าต้นนี้รากยาว ก็รดน้ำมาก
แล้วก็ไปต้นต่อไป
ไอ้เจ้าต้นนี้รากสั้นต้องการน้ำน้อยก็รดน้อยๆ
นี่ก็เรียกว่ารดตามความต้องการของต้นไม้
ทั้งรดอย่างฉลาดเลยนะ รู้ความต้องการของต้นไม้
รดให้พอดีกับความต้องการของต้นไม้
ทั้งรู้จักหลักการแบ่งงานกันทำ
ลิงนี่ฉลาดอย่างยิ่งเลยนะ หาได้ยาก
แต่ปรากฏว่า
ต้นไม้ตายหมด
ทีนี้ก็มีท่านผู้หนึ่งเดินผ่านมา
เอ้…เห็นลิงทำอะไรกันเนี่ย ก็เลยมาเกาะรั้วสวน
แล้วก็ถามหัวหน้าลิง
“ท่านทำอะไรกัน?”
“รดต้นไม้ เพราะว่านายอุทยานบาลแกไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์
พวกเราก็รับช่วยแก”
“อ่าวแล้วทำไมท่านทำอย่างนี้?”
หัวหน้าลิงก็อธิบาย
“เอ้า ก็มีเหตุผลอย่างนี้แหละ เราก็ต้องรดน้ำตามความต้องการของต้นไม้
ทำไงจะรู้ความต้องการก็ต้องรู้ว่ารากสั้นรากยาว ก็ต้องถอนมันขึ้นมาดู
แล้วก็รดไปตามความต้องการนั้น
เรื่องก็อย่างนี้ แล้วก็แบ่งงานกันทำเรียบร้อย ก็สำเร็จด้วยดี”
นายคนนั้นแกก็ไม่รู้จะพูดว่าไง
เพราะว่าลิงก็เถียงแกอีก
ลิงก็บอกว่าเค้าทำอย่างฉลาดแล้ว
ใช่ไหม ที่เค้าอธิบายนี่ก็ถูกต้องหมด
แต่ว่าต้นไม้มันตาย
แต่มันไม่ได้ตายเดี๋ยวนั้นนี่ใช่ไหมกว่าจะเห็น
ทีนี้คนนี้แกก็เลยกล่าวคาถาออกมาบอกว่า
“คนไม่ฉลาดในประโยชน์ แม้ปราถนาจะทำประโยชน์ ก็กลายเป็นทำความพินาศได้”
นี่คือคาถาสรุป
อันนี้ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยเลยนะ
…
เรื่องจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อัตถกามวรรค
เรื่องที่ ๖ อารามทูสกชาดก
ฉลาดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่มีความสุข
https://youtu.be/qMA3h7q63TI?list=PLDzf9cyBwgxCryjYpnDTxBKjl6rsSGsck
ดาวโหลดภาพการ์ตูนแบบยาวได้ที่นี่
https://dhammaway.wordpress.com/wp-content/uploads/2014/09/monkey-on-garden-9-1.png
“พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)”
ผู้นิพนธ์หนังสือ “พุทธธรรม” อันทรงคุณค่า
หนังสือที่รวบรวมหลักคำสอนและแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
ไว้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ศึกษางานของท่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ วัดญาณเวศกวัน ค่ะ
http://www.watnyanaves.net
(ฉบับการ์ตูน) นกกับต้นไม้
เวลาฉันไปหาปุ๋ย หาอะไรมาหยอดๆๆๆที่โคนมันก็แข็งแรงออกลูกเห็นไหม ฉันดีใจมาก ฉันมีความสุขมากเวลามันออกลูก ออกมาเป็นผลไม้
แต่บางช่วงเวลาที่เพลี้ยมีหนอนมากิน ฉันก็เศร้าใจนะ ฉันทุกข์ใจกับต้นไม้ของฉัน ต้นไม้ของฉันจะต้องตายแล้ว เราจะต้องตายด้วยกันอีกแล้ว”
“ลูกนก อย่าหาว่าเสือกเลยนะ แต่จะบอกความจริงให้ว่าต้นไม้กับลูกนกไม่เกี่ยวกันเลย”
ตามดูตามรู้ ไปเรื่อยๆ แล้วซักพักเธอจะเห็นความจริง
จากนั้นท่านก็ผละออกจากบ้านนั้นไปธุระที่อื่น เป็นเวลานานหลายปี
ไอ้นกเอ๊ย… มันดันดูต้นไม้แบบแม่ดูลูกนี่หว่า แล้วมันจะไปรู้ความจริงได้ยังไง
“นี่! ลูกคุณน่ะ ปากเสีย เกเร แกล้งเพื่อน ไม่มีสัมมาคารวะ มูมมาม”
ความจริงท่านปรี๊ดขึ้นตั้งแต่คำแรกแล้ว ไม่รอจนถึงคำที่สี่หรอกดีไม่ดีตุ๊บกลับไปแล้ว ท่านโกรธตั้งแต่เค้าพูดคำแรกแล้ว หลังจากนั้นด้วยความขุ่นเคือง แต่เอาล่ะไหนลองดูสิ มันจริงอย่างที่เค้าว่ารึเปล่าลูกเรา
“อื้ม… เด็กมันก็อย่างนี้แหละ”
…กินอาหารมูมมาม…
“อ้าว… ก็มันหิวอ่ะ”
…ไม่มีสัมมาคารวะ…
“เด็กรุ่นใหม่ก็อย่างนี้ทุกคนแหละ”
“มันเป็นอะไรหรอ ไอ้นั่นก็ใส่ร้ายลูกจนเกินเหตุ”
“ไม่มีสัมมาคารวะ เจอเราเลี้ยงแทนให้มันยังไม่เคยเคารพไม่เคยยกมือไหว้” ท่านบอก “โหย… แม่มันสอนมายังไงว่ะเนี่ยทำไมเกเรอย่างเนี่ย ด่าเป็นไฟเลย กินอาหารมูมมามชิบเป๋งเลย ที่บ้านสงสัยอยู่กันต่ำมากเลยเนี่ย”
เพราะท่านดูกายกับใจด้วยความเอนเอียง ท่านไม่มีความตรงไปตรงมาในการดู ท่านไม่ดูลูกเหมือนกับให้กรรมการข้างนอกมาดูนี่ ถ้าท่านเอากรรมการข้างนอก ไปจ้างคนนอกมาดูสิ ท่านจะเห็นเลย คนนอกจะบอกได้เลยว่า “เด็กสองคนน่ะ แย่พอกัน”
ไม่ได้โกรธนะเดี๋ยวนึกว่าทำไมต้องดุด้วย…)
เมื่อจิตตั้งมั่น สิ่งที่จะเห็นมีแค่สองอย่างนะ มีผู้รูั กับ ผู้ถูกรู้
จะเป็นรูป หรือจะเป็นอาการ หรือเป็นพฤติกรรม หรือเป็นพลังงานที่ออกมาก็ได้
ว่านี่เป็นธาตุ ไม่ใช่เรา เพราะมันจะเหลือแค่ผู้รู้ กับผู้ถูกรู้ ไม่มีเรา เพราะตำแหน่งมีอยู่แค่นี้
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ฟังไฟล์เสียงคอร์สปฏิบัติธรรมนี้
“คอร์สเข้มขังเดี่ยว – ทุบเปลือก ทำลายเมล็ด”
http://www.youtube.com/watch?v=nH-dlIb7J1M
สมัครเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่
http://www.suanyindee.net/
(ภาพการ์ตูน) เรื่อง “นิพพาน”
(หรือถ้าภาพไม่ขึ้น ให้โหลดหน้านี้ใหม่อีกทีนึงนะคะ)
แท้จริงจิตของคนและสัตว์ทั้งหลาย จะส่งออกไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ราวกับท่อนไม้แช่น้ำ แล้วจิตจะเกิดการกระเพื่อมหวั่นไหว ยินดียินร้ายไปกับอารมณ์อย่างไม่มีทางรู้เท่าทันได้เลย
ต่อเมื่อศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จนเกิดสติรู้เห็นสภาวธรรมได้แล้ว จะรู้สึกว่าอารมณ์ก็เป็นอันหนึ่ง จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง คล้ายกับเห็นว่ากาย เวทนา และจิตสังขารก็ทำงานโลภโกรธหลงไป
โดยมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเป็นผู้รู้ผู้เห็นธรรมที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น และเห็นว่าบางคราวธรรมชาติรู้ก็แยกจากอารมณ์ บางคราวธรรมชาติรู้ก็ไหลรวมเข้ากับอารมณ์
เมื่อศึกษามาถึงจุดนี้บางท่านก็เกิดความสงสัยว่าควรจะรู้อารมณ์ที่ปรากฏอยู่กลางอกเป็นก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง หนักบ้างเบาบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง หรือควรตามรู้ธรรมชาติรู้ที่เหมือนจะอยู่ด้านบนแถวๆ ศีรษะดี เรื่องนี้ขอเรียนว่าถ้าสติจะระลึกรู้อะไรก็รู้อันนั้น อย่าจงใจรู้อันใดอันหนึ่ง
เพราะเราไม่ได้เอาอะไรสักอย่างเดียว
เมื่อเจริญปัญญาเรียนรู้จิตใจตนเองมากเข้าๆ ก็จะเห็นอีกว่าจิตใจจะถูกยึดถือและบีบเค้นอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เมื่อเจริญปัญญามากขึ้นไปอีก จนถึงขั้นที่สติตามรู้สภาวธรรมได้เป็นอัตโนมัติแล้ว จะเห็นว่าทันทีที่ตื่นนอน งานแรกที่ทำก็คือการหยิบฉวยจิตขึ้นมาศึกษาพิจารณา และเกิดการบีบคั้นจิตอยู่ตลอดเวลาด้วย
ทั้งจะพบว่าจิตพร้อมจะหยิบฉวยจิตได้โดยง่ายแต่ปล่อยวางไม่เป็น
เมื่อเจริญปัญญาจนถึงขีดสุด คือรู้แจ้งในความเป็นไตรลักษณ์ของจิตแล้ว ก็เท่ากับการรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง
เพราะจิตเป็นตัวทุกข์ตัวสุดท้ายที่จะปล่อยวางได้
จากนั้นจะเห็นว่า จิตเกิดการปล่อยวางก้อนทุกข์ที่กลางอก พร้อมทั้งสลัดทิ้งธรรมชาติรู้ที่ตั้งอยู่เบื้องบนทิ้งไปพร้อมๆกัน ถึงจุดนี้จิตใจจะเป็นอิสระเพราะไม่ยึดถืออะไรเลย
จิตจะได้สัมผัสกับความสุขของนิพพานที่ยิ่งใหญ่ เป็นอันจบการศึกษาพระพุทธศาสนาแต่เพียงเท่านี้ นี้คือการรู้แจ้งอริยสัจจ์ที่ชัดเจน หมดจนถึงขีดสุด
ภายหลังที่จบการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เพราะเกิดปัญญารู้แจ้งอริยสัจจ์แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่จะอยู่กับโลกในลักษณะของบัวที่ไม่ติดน้ำ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทำหน้าที่ไปอย่างเดียวกับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในการรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖
แต่อารมณ์ทั้งหลายจะมีลักษณะเหมือนสิ่งที่เคลื่อนไหวไปในอากาศที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดไปกระทบกระทั่งกับอารมณ์ทั้งหลายนั้นที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ในจิตใจขึ้นมาได้อีก เพราะปล่อยวางจิตที่จะรองรับความทุกข์ทิ้งไปได้แล้ว
หลังจากที่ได้ศึกษาบทเรียนทั้ง ๓ จนจบแล้ว จิตก็พ้นจากกองทุกข์คือพ้นจากขันธ์ แต่ขันธ์ก็ยังคงไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาอยู่ดังเดิม ดังนั้นการเสวยเวทนาทางกายจึงยังมีอยู่แต่ไม่มีการเสวยเวทนาทางใจอีก
แม้ใจจะมีความสุขมากเพียงใด ใจก็ไม่ยึดถือในความสุขนั้น คงอยู่กับความสุขนั้นดังดอกบัวที่ไม่เปียกน้ำอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ถึงจุดนี้ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชอบ การมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าติดใจ
เพียงมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขเหมือนคนที่ทำงานรับจ้างเสร็จแล้วนั่งเล่นๆ รอรับค่าจ้างอยู่
และค่าจ้างนั้นก็คืออนุปาทิเสสนิพพาน หรือความสิ้นขันธ์อันเป็นกองทุกข์นั่นเอง
…
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
เนื้อหาข้อความตัดตอนมาจากหนังสือ “วิมุตติมรรค”
โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ดาวโหลดหนังสือ
วิมุตติมรรค pdf
(ฉบับการ์ตูน) เรื่อง “ลูกนักโทษ”
ลูกนักโทษ เกิดในคุก
ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร มีสิทธิเข้าออกได้
แต่ด้วยความที่เกิดมาแล้วมีสิทธินั้น
และก็มิได้เห็นคุณค่าใดๆในสิทธินั้น
ทั้งๆที่ประตูคุกก็เปิดอ้าอยู่
แต่ไม่เคยคิดจะออกไปทั้งๆที่ออกได้
จนเปลี่ยนพัศดีเรือนจำคนใหม่
กฎระเบียบใหม่ ไม่อนุญาตให้ใครๆเข้าออกคุกได้อีก
ถึงเวลานั้นลูกนักโทษนั้นจึงร้องแรกแหกกระเชิง
อ้างว่าตนเคยได้สิทธินี้มาก่อน
ตอนนี้ตนต้องการจะออกแล้ว ไม่อยากอยู่ในนี้แล้ว
แต่ได้รับคำตอบว่า สิทธิของเจ้าหมดไปแล้ว
หมดไปในวันที่…ศาสนาในพระสมณโคดม สิ้นสุดลง…
เจ้าจะต้องอยู่ในนี้ไปอีกชั่วกาลอันยาวนาน
จนกว่าจะมีผู้มีบารมีมาเปิดประตูให้อีกครั้ง
ตอนเจ้าได้สิทธินั้นอยู่ แต่กลับไม่ใช้สิทธิในเวลาที่ยังมีโอกาส
แล้วจะมาร้องขอความเห็นใจจากใคร..
เจ้าคนเขลา
คนอย่างเจ้าสมควรอยู่ในนี้ล่ะ
เนื้อเรื่องโดย “อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม”
ดูเรื่องนี้ในแบบคลิปวีดีโอได้ที่นี่
http://www.youtube.com/watch?v=x_RKsCta9KY
ศึกษาธรรมะข้อธรรมจาก อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม เพิ่มเติมได้ที่
https://dhammaway.wordpress.com/tag/อ-ประเสริฐ-อุทัยเฉลิม/
หรือดูวีดีโอการบรรยายต่างๆ ได้ทาง Youtube
https://www.youtube.com/results?search_query=ประเสริฐ+อุทัยเฉลิม
(ฉบับการ์ตูน) คนตาบอด คนตาดี ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ท่านสามารถหาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ที่
– ร้านนายอินทร์ : http://goo.gl/oSFjEP
– ร้านซีเอ็ด : https://se-ed.com/s/bXrE
– ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
– หรืออ่านได้ที่ห้องสมุดทั่วไป