โดยผู้แต่ง ดังตฤณ
ดาวโหลดฟัง mp3 คลิปเสียงอ่านหนังสือได้ที่
https://goo.gl/81r6vb
หรืออ่านหนังสือ pdf ได้ที่
https://goo.gl/oNxBEq
ดาวโหลดฟัง mp3 คลิปเสียงอ่านหนังสือได้ที่
https://goo.gl/81r6vb
หรืออ่านหนังสือ pdf ได้ที่
https://goo.gl/oNxBEq
[ใครคือดังตฤณ คลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่]
ขอบคุณภาพต้นฉบับจาก New Heart New World
“…ขอให้สังเกตว่า ถ้าเท้าเกร็ง จะรู้กระทบไม่ชัด
แต่ถ้าเท้าอ่อน แล้ววางเหยียบพื้นได้เต็มฝ่าเท้า
จะรู้สึกถึงกระทบได้ชัด
ยิ่งรู้ต่อเนื่องนานเท่าใด
เท้าก็จะยิ่งปรากฏชัดต่อใจมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น
ความฟุ้งซ่านในหัวจะหายไป
ความชัดเจนของฝ่าเท้ากระทบพื้นจะเด่นแทน
ความรู้สึกโดยรวมจึงเป็นประมาณ
ข้างบนว่าง ข้างล่างชัด…”
ดังตฤณ
หรือฟังผ่าน Youtube ได้ที่นี่ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=Pw27GHpzkw4&list=PL044EBB69DF1D46A5&index=5
[รู้จักกับดังตฤณ คลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่]
ก็ต้องว่าวิปัสสนาคือ
“เห็นตามจริง”
[ใครคือดังตฤณ คลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่]
ขอบคุณภาพต้นฉบับจาก
บ้านจิตสบาย – แหล่งเรียนรู้และภาวนาโดยการเจริญสติ
http://www.jitsabuy.com/
จากไฟล์เสียง “อานาปานสติเบื้องต้น ตอนที่ 1”
ประมาณนาทีที่ 00:01:00
[ใครคือดังตฤณ คลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่]
ดาวโหลดไฟล์ mp3 ตอนที่ 1 ได้ที่นี่
https://dhammaway.wordpress.com/wp-content/uploads/2013/09/anapanasati_dungrtin_1.mp3
ตอนที่ 2 ดาวโหลดได้ที่นี่
https://dhammaway.wordpress.com/wp-content/uploads/2013/09/anapanasati_dungrtin_2.mp3
รวมแหล่งดาวโหลดไฟล์เสียง mp3 หนังสือ pdf – ดังตฤณ
https://dhammaway.wordpress.com/2012/04/01/all-about-dungtrin/
ของ ศรันย์ ไมตรีเวช (หรือที่รู้จักกันในนามปากกา “ดังตฤณ”)
[ใครคือดังตฤณ คลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่]
และสามารถดาวโหลดไฟล์เสียงและผลงานอื่นๆ
ของอาจารย์เพิ่มเติมได้ที่นี่
– http://www.dungtrin.com/
– http://www.dungtrin.net/
– http://www.fungdham.com/book/dungtrin.html
– http://www.jozho.net/index.php?mo=2&c_art=24604
– http://www.youtube.com/playlist?list=PL044EBB69DF1D46A5&feature=mh_lolz
และสามารถรับชมคลิปวีดีโอต่างๆเพิ่มเติม
ของอาจารย์ ศรันย์ ไมตรีเวช ได้ทาง youtube คลิกที่นี่
และหากท่านทราบแหล่งอื่นๆเพิ่มเติม วานช่วยกันบอกเล่าทางนี้ด้วยนะคะ
จะได้นำมาเพิ่มในรายการต่อไป
ขอบพระคุณคะ
“…อุบายเบื้องต้นของพระพุทธองค์คือไม่ให้รู้เข้าไปที่สภาวจิตตรงๆก่อน แต่รู้ผ่านสภาพหยาบๆบางอย่างที่เกิดขึ้นกับจิต เห็นมันเกิดขึ้นแล้วเหือดหายไป จึงค่อยเริ่มจับได้ถูกว่าจิตอยู่ตรงไหน
เหมือนกับเราทราบว่ามีกระจกใสอยู่แผ่นหนึ่ง มองเห็นตำแหน่งที่ตั้งได้ยาก วิธีง่ายๆที่เราจะรู้ว่ากระจกใสอยู่ที่ใด ก็คือปล่อยให้ฝุ่นละอองหรือคราบเปื้อนมาเกาะจนเห็นชัดเสียก่อน เมื่อฝุ่นละอองหรือคราบเปื้อนหายไป สิ่งที่เหลือก็คือกระจกใสอันถูกจับตาสังเกตได้ง่ายขึ้นแล้ว
การสังเกตขณะของจิตที่ “อะไรอย่างหนึ่งดับไป” นั้นจัดว่าสำคัญยิ่ง ถือเป็นแกนหลักของจิตตานุปัสสนาทีเดียว อย่างเช่นเมื่อราคะเกิดขึ้นแล้วรู้เท่าทัน กำหนดสติเห็นราคะปรากฏมีอยู่ในจิต ครู่หนึ่งเมื่อราคะหายไป ก็รู้จิตโดยความปราศจากราคะ
การเห็นจิตที่ว่างจากราคะนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างสองสภาวะได้ชัดแล้ว ยังเป็นการฝึกรู้ตัวด้วยความสงัดเงียบ ไร้ความคิดอ่านปรุงแต่ง
เมื่อรู้จักเฉยอยู่ที่จิตอันเงียบกริบจนคุ้นแล้ว ก็จะพบว่าการประจักษ์สภาวะบางอย่างดับลงนั้น เป็นไปได้ชัดเจนโดยไม่มีความรู้สึกในตัวตนเข้ามาขัดขวางหรือบดบังทัศนวิสัยแต่อย่างใด…”
๑) ขณะก่อนทำมีจิตเลื่อมใส คือนึกอยากทำด้วยตนเอง ไม่มีความขัดขืนฝืนใจ มีแต่ความแน่วแน่ว่าจะทำให้ได้
๒) ขณะกำลังทำมีความยินดี คือมีใจที่ปราศจากความโลภและความหงุดหงิดขัดเคืองใดๆ เรียกว่าถวายทานด้วยรอยยิ้มจากใจ ใจยิ้มแค่ไหนปากยิ้มแค่นั้น ไม่ใช่ฝืนแสร้งแกล้งปั้นยิ้มด้วยปากทั้งมีใจแห้ง (ถ้าใครถวายทานด้วยสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดเป็นประจำ ก็คาดหวังได้เลยว่าเกิดชาติต่อๆไปเป็นพวกที่มีใบหน้าหงิกงอ ท่าทางบอกบุญไม่รับ หมดสิทธิ์ทำอาชีพประชาสัมพันธ์เด็ดขาด)
๓) หลังทำแล้วมีความปรีดา คือเบิกบานสบาย นึกถึงเมื่อใดปลื้มใจเมื่อนั้น ว่าเราได้ประกอบบุญแล้ว สร้างที่พึ่งอันน่าอบอุ่นใจให้ตนเองแล้ว
ด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมทั้งสามกาลข้างต้น ก็เที่ยงที่บุญจะบันดาลสุขทั้งปัจจุบันและอนาคต ปัญหาของคุณคือโดนบั่นทอนกำลังใจ ซึ่งหมายถึงหลังทำจะขาดความปรีดาปราโมทย์ไป
โดยคร่าวนะครับ จะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด เมื่อบุญที่คุณทำเผล็ดผล คุณอาจได้บ้านหลังหนึ่งเป็นรางวัล บ้านหลังนั้นอาจสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แถมอยู่ในสภาพแวดล้อมอันวิจิตรชวนชื่นตาชื่นใจ แต่คุณอยู่แล้วกลับไม่ปลื้มเอาเฉยๆ มีเหตุให้รู้สึกขัดอกขัดใจเล็กๆน้อยๆ ส่วนลึกเหมือนไม่เต็มที่กับรางวัลใหญ่ที่ได้มา
ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังตรัสเสริมอีกว่าถ้าใครห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง หมายความว่า
๑) เขาทำอันตรายแก่บุญของผู้ให้
๒) เขาทำอันตรายแก่ลาภของผู้รับ
๓) เขาย่อมทำลายตนเองด้วยบาปที่ตนก่อแล้ว
การ “รู้ตามจริง” คือการขึ้นไปมีมุมมองอยู่เหนือเส้นทางทั้งสายบุญและสายบาป
แต่ก่อนจะรู้ตามจริงได้นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ต้องมีจิตเป็นสมาธิ ตั้งมั่น ไม่เอียงไปในทางใดทางหนึ่งเสียก่อน
และตามธรรมชาติของจิตที่จะเป็นสมาธิ
ก็ต้องการน้ำใจสละออก คือไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
คิดเจือจานสมบัติส่วนเกินของตนให้คนอื่นบ้าง
หากใครยังมีความตระหนี่ถี่เหนียว จิตใจจะคับแคบ
เวลาระลึกถึงวัตถุอันเป็นเป้าแห่งสมาธิอันใด
ก็จะเพ่งคับแคบด้วยความโลภเอาความสงบ
ไม่ใช่ระลึกรู้อย่างมีสติพอดีๆในแบบที่ทำให้เกิดสมาธิขึ้นได้
และหากเป็นผู้ผูกพยาบาทแน่นหนา ไม่มีน้ำใจให้อภัยใครเสียบ้าง
พอมาฝึกสมาธิแล้วไม่สงบรวดเร็วดังใจ
ก็จะเกิดความขัดเคืองรุนแรงตามนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น
ยังผลให้อึดอัดคับข้องเสมอๆ
แต่หากเป็นผู้ทำทานมาดี จิตจะเปิดกว้าง
ไม่เพ่งคับแคบด้วยแรงบีบของนิสัยตระหนี่
และหากคิดให้อภัยใครต่อใครอย่างสม่ำเสมอ
จิตจะเยือกเย็น ไม่กระสับกระส่ายเร่าร้อนง่ายๆ
แม้ทำสมาธิล้มเหลวก็ไม่ขุ่นใจ ไม่โกรธตัวเอง
ไม่แค้นเคืองวาสนาเหมือนอย่างหลายต่อหลายคน
นอกจากต้องการความเปิดกว้างแบบทานแล้ว
สมาธิยังต้องการความสะอาดของจิตประกอบพร้อมอยู่ด้วย
ถ้ายังสกปรกมอมแมมไปด้วยกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตล่ะก็
จะเหมือนมีหมอกมัวมุงบังไม่ให้ระลึกรู้วัตถุอันเป็นเป้าล่อสมาธิได้นานเลย
อันนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าให้ถือศีล รักษาศีลจนสะอาด
แล้วจะทราบด้วยตนเองว่าผลที่ตามมาคือความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
เมื่อมีความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
จิตก็ย่อมมีความสว่างสบาย
ง่ายต่อการทำให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิรู้ตามจริงได้
ของผู้เขียน ดังตฤณ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าใครสามารถกล่าวมุสาได้โดยปราศจากความละอาย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องจริง ก็ไม่มีบาปกรรมใดแม้แต่หนึ่งเดียวที่เขาจะทำไม่ลง
ความละอายจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด เป็นองค์ประกอบสำคัญสูงสุดในการถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ตราบใดยังมีความละอาย ไม่อยากทำบาป ไม่นึกสนุกติดใจในกรรมชั่ว ก็เรียกว่าเขายังพอมีพื้นของความเป็นมนุษย์อยู่ แต่หากทำบาปได้แบบไม่ต้องกะพริบตา เช่นพูดโกหกมดเท็จปั้นน้ำเป็นตัวได้คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ นั่นแหละคือเขาขาดองค์ประกอบพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว คนส่วนใหญ่มองว่าการโกหกเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องสามัญที่ทุกคนต้องทำ อาจจะโกหกนิดๆ หรืออาจจะโกหกมากๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บีบคั้น ไม่ตระหนักกันเลยว่าถ้าทำเป็นประจำจนชิน ในที่สุดก็จะหมดความละอาย และเมื่อใดหมดความละอายในการโป้ปดมดเท็จ เมื่อนั้นจิตวิญญาณจะด้านชาต่อบาป เหมือนมีอะไรมาบังตาไม่ให้เห็นตามจริงไปเสียหมด ที่ตามมาก็คือการทำบาปได้ไม่เลือก เพราะตัวมุสามันบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ขอให้เอาดีเข้าตัวได้เป็นพอหากถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่าเราสามารถโกหกโดยไม่ละอาย ก็นับว่าคำถามคำตอบนี้น่ากลัวยิ่ง เพราะเราไม่อาจคาดคะเนได้เลยว่าตัวเองเผลอก่อบาปก่อกรรมหนักๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มานานแค่ไหน เมื่อไม่มีความละอายบาปอันเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของมนุษย์ก็แทบทำนายได้ว่าต้องหลุดร่วงจากสุคติภูมิแน่อยู่แล้ว แต่นี่ไปก่อบาปก่อกรรมโดยไม่รู้ว่าเป็นบาปกรรมเข้าให้อีก มิแปลว่ามีสิทธิ์ถูกเหวี่ยงลงต่ำไปถึงพื้นนรกกันหรอกหรือ?
สรุปคือการขาดความละอายต่อบาปคือการไม่อาจทำนายว่าจะต้องระหกระเหเร่ร่อนไปสถิตอยู่ในภพไหนภูมิใดอันเป็นเบื้องล่าง หากปราศจากความสะทกสะท้าน หากยังทะนงหลงนึกว่าไม่เป็นไร นั่นก็อาจเป็นการทำงานชิ้นใหญ่อีกครั้งของอุปาทานก็ได้!