ดร.วิษณุ เครืองาม
ในการบรรยายการดำเนินการนโยบายการส่งเสริมเอกลักษณ์ของชาติ
https://youtu.be/2N3dogBVfU4
https://youtu.be/fIJvLgkX7GA
ตอนนี้เราสามารถกลับมานั่งหลังตรงได้แล้วค่ะ ตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าหลังยืดตรงขึ้นเลยค่ะ หายใจคล่องขึ้นมาก โล่งขึ้นมาก แล้วพอตอนนี้สามารถนั่งหลังตรงได้จริง ๆ อาการปวดหลังก็ค่อย ๆ หายไป เป็นแบบที่คุณหมอบอกในคลิป มันเป็นการจัดกระดูกจัดโครงสร้างร่างกายให้เข้าที่ด้วยตัวเอง ดีมาก ๆ เลยค่ะ ที่สำคัญช่วยให้ การนั่งสมาธิดีขึ้นมากๆๆๆๆ
เนื้อหาในนี้จะมีเรื่องของ…
– แพทย์แผนไทย การแพทย์ผสมผสาน
– เรื่องอาการไม่สมดุล อาการปวดขา ฯลฯ
– เรื่องของโรคเครียด
– ท่านอนแบบต่าง ๆ ท่าทางการลุกจากที่นอน
– สภาวะของจิตใจที่มีผลต่อร่างกาย
– ท่ายืดเหยียด
– วิชามณีเวช (ท่างูเต่า)
– การจัดกระดูกด้วยตัวเอง การเรียงกระดูกด้วยตัวเอง
– การนั่งที่ถูกวิธี
– การหายใจ การยืดเหยียด
– วิธีเดินที่สมดุล
– วิธีขึ้นลงบันไดที่สมดุล
– การนั่งพับเพียง การนั่งยอง ๆ (แบบถูกท่า ที่จะไม่ปวดขาไม่ปวดหลัง)
– วิธีการลุกนั่งแบบสมดุล (แบบถูกท่า ที่จะไม่ปวดขาไม่ปวดหลัง)
– การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
แนะนำเพิ่มเติมอีกที ท่านที่ทำเห็นผลชัดเจนแล้ว เราแนะนำเพิ่มว่าให้ทำโยคะท่าอื่น ๆ เสริมด้วยเลยค่ะ ถ้าทำโยคะท่าอื่น ๆ ด้วย จะทำให้ร่างกายยืดหยุ่นขึ้นค่ะ อาการเจ็บปวดโรคภัยต่าง ๆ หายไปเองเลย สุขภาพดีขึ้นมาก ๆ ทำโยคะท่าอื่น ๆ เสริมด้วยเลยค่ะ ดีมาก ๆ (^____^)
กระแสลม เหมือนดั่ง โชคชะตา
พัดนำพา การเดินทาง ของชีวิต
แต่หนทาง เดินเรือ เราลิขิต
ลมสงบ หรือพายุ พัดทุกทิศ
กางใบเรือ ดูทิศทาง เราลิขิต
สู่จุดหมาย ของชีวิต ที่เราตั้งใจ
Like the winds of the sea are the ways of fate;
As we voyage along through life,
‘Tis the set of a soul
That decides its goal,
And not the calm or the strife.
ต้องการเอาชนะ. บางคนใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ. ตัวอย่างเช่น ลองนึกภาพว่าสามีกับภรรยากำลังวางแผนจะไปเที่ยวด้วยกันและภรรยาอยากพาพ่อแม่ของเธอไปด้วย. แต่สามีค้านว่า “ผมแต่งงานกับคุณนะ ไม่ใช่กับพ่อแม่ของคุณ.” แล้วเขาก็ไม่ยอมพูดกับเธออีกเพราะคิดว่าถ้าทำอย่างนี้ภรรยาจะเปลี่ยนใจและเลิกเซ้าซี้เขา.
แน่ล่ะ บางครั้งการไม่พูดจากันสักพักหนึ่งอาจช่วยให้สามีและภรรยาได้สงบสติอารมณ์ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามจนถึงขั้นทะเลาะกัน. การนิ่งเงียบแบบนี้ อาจเป็นประโยชน์. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า มี “เวลานิ่งเงียบ.” (ท่านผู้ประกาศ 3:7, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) แต่การใช้ความเงียบเพื่อแก้เผ็ดหรือเอาชนะ นอกจากจะทำให้ปัญหายืดเยื้อแล้วยังบั่นทอนความนับถือที่คู่สมรสมีต่อกันด้วย. คุณจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันปัญหานี้?
พยายามเข้าใจกัน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าความรัก “ไม่โกรธง่าย.” (1 โครินท์ 13:4, 5) ดังนั้น อย่าเพิ่งโมโหเมื่อคู่ของคุณพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “คุณไม่เคยฟังฉันเลย” หรือ “เธอนี่สายประจำเลย.” แทนที่จะโกรธ คุณน่าจะพยายามเข้าใจว่าทำไมเขาจึงพูดออกมาอย่างนั้น. ตัวอย่างเช่น เมื่อคู่สมรสพูดว่า “คุณไม่เคยฟังฉันเลย” จริงๆแล้วเธออาจหมายความว่า “ฉันรู้สึกว่าคุณไม่สนใจความคิดเห็นของฉัน.”—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: สุภาษิต 14:29
พูดให้เบาลง. ตามปกติแล้ว ยิ่งคุณทะเลาะกันนานขึ้น เสียงของคุณก็จะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ. แต่คุณสามารถ ลดความเดือดดาลลงได้. อย่างไรล่ะ? หนังสือสู้เพื่อยืดชีวิตรัก (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “การพูดเสียงเบาลงและยอมฟังความเห็นของคู่สมรสเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันไม่ให้เรื่องลุกลามใหญ่โต. บ่อยครั้งเพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว.”—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: สุภาษิต 26:20
คิดว่าเป็นเรื่องของ “เรา” ไม่ใช่ของ “ฉัน.” คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “อย่าให้ใครทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แต่ให้ทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่นด้วย.” (1 โครินท์ 10:24) ถ้าคุณมองว่าคู่สมรสเป็นเพื่อนร่วมทีมของคุณแทนที่จะเป็นศัตรูคู่อริ คุณก็จะไม่โกรธหรือขุ่นเคืองง่ายจนถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่พูดจากัน.—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: ท่านผู้ประกาศ 7:9
การนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจากับคู่สมรสเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ขัดกับคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ให้พวกท่านแต่ละคนรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง ส่วนภรรยาก็ควรนับถือสามีอย่างสุดซึ้ง.” (เอเฟโซส์ 5:33) ลองตกลงกับคู่ของคุณดูสิว่าจะเลิกใช้วิธีนิ่งเงียบได้ไหมเมื่อมีปัญหากัน?
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ให้คำพูดของท่านทั้งหลายเป็นคำพูดที่แสดงความกรุณาเสมอเหมือนอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ ท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าควรจะตอบแต่ละคนอย่างไร.” (โกโลซาย 4:6) ข้อนี้ใช้กับชีวิตสมรสได้อย่างแน่นอน! เพื่อเป็นตัวอย่าง: ในการเล่นโยนลูกบอลนั้น คุณจะต้องโยนลูกบอลให้อีกคนหนึ่งรับได้ง่ายๆ. คุณคงไม่ขว้างลูกบอลแรงถึงขนาดทำให้ผู้ที่เล่นกับคุณเจ็บตัว. จงใช้หลักการเดียวกันนี้เมื่อพูดกับคู่สมรสของคุณ. การพูดแรงๆรังแต่จะทำให้เจ็บ. แทนที่จะใช้คำพูดแบบนั้น จงพูดอย่างนุ่มนวลด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพื่อที่คู่สมรสของคุณจะเข้าใจคุณ.—จากตื่นเถิด! 8 มกราคม 2001
– คุณพ่อคุณแม่ หรือท่านที่ตั้งครรภ์หรือสนใจการมีบุตร เราแนะนำดูคลิปตอนที่ 2 ค่ะ เขาพูดเรื่องสุขภาพ เรื่องพัฒนาการต่างๆ ของเด็ก
– นักปฏิบัติธรรม ที่ต้องลุกนั่ง หรือท่านที่มีปัญหาในการลุกนั่ง ปวดขา ปวดแข้ง ปวดน่อง ปวดเข่า เราแนะนำดูคลิปตอนที่ 4 ค่ะ เขาจะสอนวิธีลุกนั่งแบบที่ทำให้สุขภาพขาดีขึ้น ร่างกายเกิดสมดุล เราลองทำตามดูแล้ว ดีขึ้นมากของจริงค่ะ ขาแข้งน่องเข่าจะรู้สึกดีขึ้นด้วยค่ะ เหมาะสำหรับการลงนั่งสมาธิ นั่งสวดมนต์ การลงนั่งท่าเทพบุตร ท่าเทพธิดา การลุก วิธีการยืน วิธีการเดินต่างๆ ช่วยได้มากๆ
https://youtu.be/F4FHoFIQpGA?list=PLDzf9cyBwgxBtxtZ-DZq_KSUUOyxMrWzG
ตอนที่ 1
– อธิบายการกดจุดที่ฝ่ามือด้านใน
– การรักษาแบบองค์รวม
– ภาพแผนผังฝ่ามือด้านใน
– วิธีการกดจุดที่ฝ่ามือด้านใน
– อธิบายเรื่องสุขภาพองค์รวม
https://youtu.be/jtJ1u6G5vvU?list=PLDzf9cyBwgxBtxtZ-DZq_KSUUOyxMrWzG
ตอนที่ 2
– การรักษาแบบองค์รวม ความสมดุลของร่างกายโครงสร้าง การรักษาที่เหมาะสม
– เรื่องเด็กๆ ที่แบกเป้ แบกกระเป๋า กับปัญหาสุขภาพ ที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก
– การคลอดลูก แบบผ่าตัด แบบธรรมชาติ ความแตกต่างและผลที่ตามมา ผลต่อเด็ก
– พัฒนาการของเด็ก การคลาน การเดิน ธรรมชาติของการสร้างกล้ามเนื้อการสร้างสมดุล
– ผลของการขาดสมดุล โครงสร้างที่ผิดปกติ การรักษาที่ไม่ถูก
– วิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ที่ส่งผลเป็นลูกโซ่
https://youtu.be/Oqae1jFe06Q?list=PLDzf9cyBwgxBtxtZ-DZq_KSUUOyxMrWzG
ตอนที่ 3
– การดูแลร่างกาย กับสมดุลโครงสร้างร่างกาย
– การใช้อิริยาบทในชีวิต อิริยาบทการนั่ง การปรับสมดุลองค์รวม
https://youtu.be/KWpx3Agz2hM?list=PLDzf9cyBwgxBtxtZ-DZq_KSUUOyxMrWzG
ตอนที่ 4
– การลุก การนั่ง การเปลี่ยนท่า ที่ถูกวิธีให้ร่างกายเกิดสมดุล
– การเปลี่ยนท่าจากนั่งเป็นลุก การเปลี่ยนท่าจากลุกเป็นนั่ง ที่เป็นผลดีต่อสุขภาพขา
ต่อหลักสูตรมีประมาณ 50 – 70 คน ซึ่งเป็นทั้งคนเชียงใหม่ คนกรุงเทพฯ บางทีก็มีจากต่างจังหวัดอื่นๆ ก็มี แสดงว่าเป็นคนทั่วๆ ไป สมัครเข้ามาได้ทางเว็บไซต์
เริ่มตั้งแต่รู้จัก ครั้งแรกคือหลักสูตรพื้นฐานเริ่มจากสื่อธรรมะที่คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่ายๆ จนกระทั่งเข้าหลักสูตรที่สอง คือ หลักสูตรเข้มเหมาะกับผู้ที่เคยปฏิบัติมาแล้ว และรู้ว่าการปฏิบัติคืออะไร แล้วก็มุ่งไปที่ความพ้นทุกข์จริงๆ
โอ้…แตกต่างกันเยอะนะครับ มีตั้งแต่คิดฆ่าตัวตาย หรือฆ่าตัวตายแล้วไม่ตายแล้วก็มา พอมาหลังจากนั้น ส่วนมากคือหลุดพ้นจากเรื่องนั้นไป หรือแม้แต่คนที่กำลังจะตายแล้วโทรศัพท์เข้ามา พูดคุยกับเขาทางโทรศัพท์แล้วเขาก็ตายอย่างสงบ คือ กำลังจะตายอย่างสงบ แต่ก็พูดจนเขาเข้าใจ แล้วก็หลับตาแล้วตายไปด้วยรอยยิ้ม เพราะฉะนั้นมีทุกอย่าง
ขอคิดก่อนนะว่าคนอ่านกายใจเขาจะทุกข์อะไร…ผมว่าเราสะกิดใจอะไรบางอย่าง เช่น ความทุกข์ที่เกิดกับเราทุกวันแล้วเราไม่เห็นเลย อย่างเช่นรถติดไฟแดง ทุกคนก็หงุดหงิด กลัวจะไปทำงานไม่ทันอะไรก็แล้วแต่ ในทุกไฟแดงจะมีตัวเลขถอยหลังกลับ ตีว่า 60 ก็แล้วกัน 59, 58 ไปเรื่อยๆ แต่สังเกตไหมว่าคนในรถจะทุกข์ ยิ่งรีบมากก็ยิ่งทุกข์มาก แต่ความทุกข์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไฟแดงให้เป็นไฟเขียวเร็วขึ้น แต่ก็น่าแปลกที่ทุกคนยังทุกข์อยู่กับสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะมาบอก “ฉันไม่อยากทุกข์เลย” แล้วคุณจะทุกข์ทำไมในเมื่อไฟไม่ได้เปลี่ยนเร็วขึ้น ไฟแดงไม่ได้เปลี่ยนเร็วขึ้นตามความอยากหรือไม่อยากของใคร
เมื่อก่อนศาสนาเป็นฝ่ายตั้งรับ อยู่ในพื้นที่ อยู่ในวัด อยู่ในศูนย์ปฏิบัติ แล้วมีคนสนใจเข้ามาสู่การปฏิบัติ ไม่ยากหรอกถ้าอย่างนี้ ผมได้รับเชิญออกไปให้บรรยายในหน่วยงานที่มีคนไม่สนใจศาสนา ต้องพูดให้พวกเขาฟัง ต้องเข้าไปในองค์กรที่เขาไม่สนใจเลย แต่เปลี่ยนความไม่สนใจใน 15 นาที แล้วกลายเป็นนั่งตั้งตาดูจนกระทั่งจบ หรือแม้แต่หน่วยงานตอนนี้ที่ผู้บริหารหรือเจ้าขององค์กรต้องการให้พนักงานเป็นคนดี เราก็รุกเข้าไป
ต้องมีครับ เพราะเรามีเวลาสั้นมากที่จะสื่อสารกับเขา ส่วนมาก ทุกองค์กรจัดบรรยายในองค์กรมีเวลาเต็มที่แค่สองสามชั่วโมง นอกจากองค์กรที่สนใจจริงๆ จัดทั้งวัน แต่ส่วนมากแค่สองชั่วโมง ในเวลาสองชั่วโมงจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจว่า “เออจริงนะ…ใช่” ต้องจี้ให้เขาเห็นจริงๆ ว่าเกิดที่ตัวเขาจริงๆ ทุกคนอยากรู้เหมือนกันว่าจริงๆ คืออะไร
สถานที่มีผลแน่นอนครับ เพราะผู้คนทั่วไปในปัจจุบันเนี่ย คนรุ่นใหม่อยู่กับความสะดวกสบาย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีมาตรฐานค่อนข้างสูงมาก ทีนี้ศูนย์ปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เข้าไปใกล้เคียงกับชีวิตเขาบ้าง พูดง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนเราไปวัดป่า แล้วความเป็นอยู่อย่างที่เราเข้าใจ คนรุ่นใหม่จะเข้ายากมาก เพราะ หนึ่ง พอยังไม่เห็นความสำคัญก็รู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าสถานที่พอจะรับได้ เข้ามาก่อนแล้วได้ยิน ได้เห็นประโยชน์ วันข้างหน้าจะไปกางเต็นท์ หรือไปนอนป่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะเห็นประโยชน์แล้ว…พอเข้าใจ อยู่ที่ที่มีความสุขทำไมจะไม่สุข ต่อให้อยู่ในที่ที่ไม่สุขก็ยังสุขได้
สาวกในวันนี้กับสาวกในสมัยพุทธกาลมีความยากต่างกัน สาวกในสมัยพุทธกาลยากตรงที่ทุกคนไม่รู้จักพุทธศาสนาเลย และมีคำสอน ลัทธิต่างๆ เยอะแยะ การที่สาวกออกไปประกาศพระศาสนาเพื่อเข้าใจหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ยากตรงนี้ ที่ต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์ แต่ทุกคนมีทุกข์เป็นพื้นฐานแล้วต้องการหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ จึงจูนหากันไม่ยาก
นี่เป็นเรื่องยากของทุกคนครับ ผมบอกง่ายๆ เลยว่า วิธีการที่เกิดขึ้นง่ายๆ กับทุกคนเพราะคุณเปลี่ยน ถ้าคุณมาปฏิบัติธรรมแล้วคุณเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จะมีคนมาสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเขาไม่มา จะมีคำๆ หนึ่งที่พูดกัน “ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างคนนี้น่ะเหรอ…ฉันไม่ไป” ทุกคนที่ปฏิบัติคือคนที่จะออกไปประกาศศาสนา ถ้าคุณไม่เปลี่ยนอะไรเลย แม้แต่คนรอบข้างยังดูไม่ออกเลย คุณทำลายศาสนาด้วยซ้ำ
เยอะมากขึ้นครับ ถ้ามองจากเทรนด์ เยอะมากขึ้น จะด้วยความทุกข์ที่มากขึ้น ความเข้าใจที่มากขึ้น สถานปฏิบัติธรรมดีๆ ต่อให้คนไม่สนใจธรรมะ บางคนอยากมาพักผ่อน แต่พอมาแล้วได้ไปด้วย พอได้ไปด้วยก็เลยเข้ามาเลย เด็กจะอยากอาบน้ำหรือไม่อยากอาบน้ำ ถ้าเข้าไปห้องน้ำแล้วโดนถูสบู่ ยังไงก็สะอาด…จะอยากมา ไม่อยากมา เข้ามาพอ จบก็ใจสะอาดแล้ว
ศึกษาธรรมะเพิ่มเติมจาก
อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
สมัครเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่
สวนยินดี
https://dhammaway.wordpress.com/wp-content/uploads/2014/12/aj-supee-anamatakkasangsara.mp3
แต่ว่าเด็กยอมรับความจริง แล้วก็รู้ด้วยว่าเมื่อถูกทำโทษก็เป็นส่วนของการทำโทษ แต่ไม่มีการอาฆาตแค้นใดใด นี่คือสิ่งที่เขาจะถ่ายทอดสู่สังคม
เพื่อนสองคนนี้รักกันมาก เพื่อนคนหนึ่งชื่อบุญมี บุญมีเป็นผู้มีปัญญาแบบปิ๊งปั้งเลย ส่วนกรรมบังจะทึบๆ ทื่อๆ แต่สองคนนี้เป็นเพื่อนซี้กัน เพราะฉะนั้นกรรมบังมีอะไรก็จะปรึกษาบุญมีเพราะว่าเชื่อในสติปัญญาของบุญมี
มีอยู่วันหนึ่ง กรรมบังก็มาเล่าให้บุญมีฟังว่า
“ฉันเบื่อจังเลยอึดอัดมากด้วย ห้องที่ฉันอยู่เนี่ยมันเล็กนิดเดียวเงินก็มีอยู่แค่นี้ที่จะไปเช่าห้องอยู่ก็มีอยู่แค่นี้ แต่ไม่ชอบเลยห้องมันเล็ก ทำยังไงเงินที่มีอยู่นี่ถึงจะไปเช่าห้องได้ใหญ่กว่านี้”
บุญมีพอได้ยินเพื่อนก็เลยถามกลับไปว่า “แล้วเงินมีเท่าไหร่”
กรรมบัง : “มีอยู่ 500 เนี่ย”
บุญมี : “500 หรอ ตอนนี้เช่าห้องแล้วใช่ไหม”
กรรมบัง : “เช่าไปแล้ว”
บุญมี : “แล้วเหลือเท่าไหร่”
กรรมบัง : “เหลือ 500 เนี่ย กินทั้งเดือนเลย
บุญมี : “อืม เอางี้ๆ ไปซื้อแพะตัวหนึ่ง”
กรรมบัง: “ซื้อแพะ? ตัวนึง 200 เลยนะ?”
บุญมี : “อืม ไปซื้อแพะมา เอาตัวผู้นะ ต้องตัวผู้ด้วย”
กรรมบัง : “ซื้อมาทำไม เดี๋ยวเงินหมด”
บุญมีก็หันไปมองหน้าแบบจ้องตา
กรรมบัง : “โอเคๆๆๆ”
บุญมี : “ก็เอาไปเลี้ยง”
กรรมบัง : “หา?? เลี้ยงที่ไหน อยู่ห้องพัก”
บุญมี : “เออ ก็เลี้ยงในห้องนั่นแหละ”
กรรมบัง : “เอ้า?”
บุญมี : “เออเลี้ยงไปเหอะ ถามอยู่นั่นล่ะ”
ตกกลางคืนแพะก็เดินไม่หยุด ทั้งฉี่ ทั้งขี้ ทั้งเยี่ยว ทั้งวิ่งจะออกไปข้างนอก ไปมาจับขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยม โอย…ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกัน รำคาญก็รำคาญ เหม็นก็เหม็น ห้องก็เล็กอยู่แล้ว เที่ยวนี้ทำไมทำอย่างนี้เจ็บใจ นอนแค้นทั้งคืน
ตื่นมาก็ลากแพะไปหาบุญมีแต่เช้าเลย (ตาโหลเลยเมื่อคืนไม่ได้นอน) ไปถึงก็ต่อว่าไม่หยุดเลย
บุญมีก็นั่งฟังอยู่พักหนึ่ง พอเห็นเพื่อนพูดจนเหนื่อยแล้วด่าเสร็จแล้ว
บุญมี : “อืม แล้วจะเอาไงล่ะ”
กรรมบัง : “ก็ใช่สิ! แล้วจะเอายังไงเนี่ย!”
บุญมี : “เอางี้ ไปซื้อตัวเมียอีกตัวหนึ่ง”
กรรมบังยั้วสุดขีดเลย
กรรมบัง : “นี่พูดจริงพูดเล่นเนี่ย”
บุญมี : “พูดจริง เคยพูดเล่นที่ไหน”
กรรมบัง : “นี่จะแกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย?”
บุญมี : “ไม่แกล้ง แล้วเหลือตังค์เท่าไหร่ล่ะ”
กรรมบัง : “ก็เหลือ 300 เนี่ย ซื้อไปแล้ว 200”
บุญมี : “ไปซื้อตัวเมียนะ เที่ยวนี้ตัวเมีย”
กรรมบัง : “ทำไมต้องตัวเมีย??”
บุญมี : “เออ ตัวเมียนั่นแหละ”
เช้ามานี่แค้นสุดๆ ลากไปทั้งคู่เลยด้วยความแค้น กระชากลากถูกไปหาบุญมี แล้วทีนี้ว่าด่าแล้วก็สาธยายความทุกข์ให้ได้ฟังเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เป็นชั่วโมงจนเหนื่อย ถามจะเอายังไงทีนี้
บุญมี : “เอาอย่างนี้ละกัน ขอโทษที เอาไปขายเหอะ”
กรรมบัง : “หา?? เอาไปขายหรอ เหลือตัวละร้อยยังไม่รู้จะได้รึเปล่า”
บุญมี : “เออ ขายไปเหอะถ้างั้น”
กรรมบัง : “อะไร! ทีหลังไม่ฟังแล้ว! แกล้งกันรึเปล่า”
บุญมี : “ขอโทษที ไปขายเหอะไป”
แล้วบุญมีก็เดินหลบเข้าบ้านไปเลย
กรรมบัง : “อื้มมมม…”
กลับบ้าน ไม่ไหวแล้ว เพลีย ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองคืน
พอเปิดห้องโอโห… ขี้แพะเต็มไปหมด ล้างห้องกว่าจะหมด
พอล้างเสร็จก็เอนตัวลงนอนเลย
“เฮ้อออ… ห้องค่อยกว้างขึ้นหน่อย…
เอาแพะไปขาย ค่อยหลับสบายหน่อย…”
…พึ่งรู้สึกว่าห้องมันกว้างขึ้น…
…แล้วก็นอนหลับอย่างมีความสุข…
เสียไป 200 ห้องกว้างเลย เห็นหรือยังการทำห้องให้กว้างโดยใช้ปัญญา
เพราะอะไรรู้ไหม
ผมลองให้ท่านคิดดูให้เป็นธรรมะ แสดงว่ามันต้องมีสภาพธรรมอยู่ข้างใน
เพราะจิตทุกคนมีโมหะ(ความหลง) แต่เราไม่เห็นเลย ผมถามความรู้สึกวันแรกที่ท่านเรียนจบ แล้วท่านเข้าไปสมัครงาน สมมุติว่าตอนนี้แล้วกัน เขาบอกว่าปริญญาตรีจะได้หมื่นห้า เราเรียนมาก็มีแต่เสียเงินค่าเทอม จบปริญญา นี่ครั้งแรกจะได้เงินเดือนแล้ว
เจ้านายบอก “หมื่นสี่ เอาไหม ทดลองงานก่อน”
“เอา”
เพราะเราจะได้เงินตั้งหมื่นสี่ เราไม่เคยได้เงินเดือนมาก่อน นี่คือเงินเดือนที่เราจะได้มาฟรีๆ
เราทำงานไปได้เงินเดือนเดือนแรกดีใจมาก หมื่นสี่ เดือนที่สองได้มาอีกหมื่นสี่ เราก็เริ่มไปซื้อข้าวซื้อของ เดือนที่สามได้หมื่นสี่เพราะยังอยู่ใน Probation (ช่วงทดลองงาน)
พอถึงช่วงพ้นโปร นึกว่าจะได้หมื่นห้า เจ้านายบอก
“งานของคุณแค่นี้ เอาไปแค่หมื่นสี่ละกัน จะเอาไม่เอา?”
“เฮ้ย โกงฉันพันนึง”
เอาล่ะมันโกงฉันพันนึงล่ะ
แล้วถ้าเขาบอกว่า
“ตกลงเราจ้างได้แค่หมื่นสาม”
…นี่มันโกงเรานะเนี่ย…
“ถ้าไม่เอาคุณก็คงต้องออกไป”
…งั้นออก…
กลับไปอยู่ที่ศูนย์
…ไม่ได้ มันโกงเรา…
ถ้าจิตรีเซ็ตตัวเองกลับมาที่ศูนย์เมื่อไหร่ ทุกบาททุกสตางค์จะกลายเป็นได้ฟรีทุกขณะ ตลอดการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้
คนๆ นั้นจึงมีความสุข
ดูธรรมบรรยายคอร์สนี้ทาง Youtube
ฟังแบบคลิปเสียง MP3
หมายเหตุ: บทความนี้ประกอบด้วยเรื่องเล่า ที่ไม่ทราบท่านใดได้เป็นผู้ประพันธ์ไว้ เป็นเรื่องราวที่มีเนื้อหาที่ดีมาก ขอขอบคุณผู้ประพันธ์ไว้ ณ ที่นี้ที่ได้รังสรรค์ผลงานนี้ไว้
ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นอุทาหรณ์ และใช้ในการเรียนการสอนต่อไป (ทั้งนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนไปบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อหาในการสอนขณะนั้น)