(การ์ดคำสอน) อิสรภาพในตนเอง และสังคม

คนที่จะไปปลดปล่อยสังคมนั้น
ก็ต้องไม่ประมาทที่จะปลดปล่อยตนเอง
ให้พ้นจากการครอบงำของกิเลสข้างในตัวด้วย
… มิฉะนั้น ตัวเองก็จะถูกพันธนาการ ถูกผูกมัด
และก็จะพลอยทำให้สังคมถูกผูกมัดไปด้วย

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ธรรมนิพนธ์ ความเป็นอนิจจังของสังขารกับอิสรภาพของสังคม
https://goo.gl/7JwvFb

ศึกษาข้อธรรมข้อคิดจาก พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ได้ที่ วัดญาณเวศกวัน
http://www.watnyanaves.net

(การ์ดคำสอน) สู่บทเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่า

ในชีวิตคนเรา บางคราวก็ต้องล้มบ้าง บางคราวก็ต้องพลาดบ้าง บางคราวก็ต้องแพ้บ้างในบางสนาม

เพราะการพลาดการแพ้ในบางครั้ง จะให้บทเรียนที่ทรงคุณค่ายิ่งกว่า ในแบบที่การเอาแต่ชนะเรื่อยไปจะไม่สามารถหาโอกาสเรียนบทนี้ได้เลย บทเรียนที่ทรงคุณค่านี้ก็เพียงแต่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยชัยชนะที่คุณปรารถนาที่สุดในตอนนั้นแค่นั้นเอง

แต่สิ่งที่คุณได้รับกลับมานั้นคุ้มค่ายิ่งกว่า คุณจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง มีพื้นฐานแน่นยิ่งกว่าเดิม ในการก้าวเข้าสู่สนามที่ยิ่งใหญ่กว่าหลังจากนี้

(การ์ดคำสอน) ทำจริง ๆ สักครั้งเถอะ

เรากำลังฝึกเพื่อจะเดินไปที่ปลายทาง ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องการคนจริงเเค่นั้น ลองบอกตัวเองทำจริง ๆ สักชาติหนึ่งเถอะ
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

ส่วนหนึ่งจากธรรมบรรยายในคอร์สปฏิบัติธรรม “คอร์สเข้ม คอร์สนี้ไม่มีในโลก”

สามารถดาวโหลดฟังคลิปเสียง mp3 คอร์สปฏิบัติธรรมนี้ได้ที่นี่
https://goo.gl/KxnB8z

ศึกษาธรรมะข้อธรรมข้อคิดจาก
อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
http://makkanuka.wordpress.com/

(การ์ดคำสอน) บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า

ถ้าหากมีข้อกำหนดสำหรับผู้จะบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าดังนี้ว่า
(๑) ผู้ใดสามารถใช้กำลังแขนของตน ว่ายข้ามห้วงจักรวาลทั้งสิ้น ที่มีน้ำเต็มทั่วทั้งหมดจนถึงฝั่งได้ ผู้นั้นจึงจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
(๒) ผู้ใดสามารถเดินเท้าเหยียบย่ำห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ที่ปกคลุมด้วยกอไผ่จนถึงฝั่งได้ ผู้นั้นจึงจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
(๓) ผู้ใดปักดาบทั้งหลายลงเต็มห้วงจักรวาล แล้วสามารถเดินเท้าเหยียบสถานที่ซึ่งเต็มด้วยดาบไปจนถึงฝั่งได้ ผู้นั้นจึงจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
(๔) ผู้ใดสามารถเดินเท้าย่ำห้วงจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งเต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลวไปจนถึงฝั่งได้ ผู้นั้นจึงจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ใดไม่มีความเห็นว่า “ข้อกำหนดเหล่านั้นแม้ข้อหนึ่งทำได้ยาก” คิดแต่ว่า “เราจักข้ามไปถึงฝั่งข้างได้” ผู้นั้นเป็นผู้ประกอบด้วยฉันทะ อุตสาหะ ความพยายามและการแสวงหาอันยิ่งใหญ่ ความปรารถนาของเขาย่อมสำเร็จ คนนอกจากนี้ย่อมไม่สำเร็จ

ทูเรนิทาน
แปลและเรียบเรียงจาก
วิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน

โดย อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง (จากหนังสือ พระพุทธเจ้า)

สามารถดาวโหลดหนังสือ “พระพุทธเจ้า” อ่านได้ที่
https://goo.gl/49wC1h

และสามารถศึกษาธรรมะข้อคิดข้อธรรมจาก อ.สุภีร์ ทุมทอง
ฟังคลิปเสียง mp3 หรืออ่านหนังสือ pdf ได้ที่
http://www.ajsupee.com

(การ์ดคำสอน) บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง

(การ์ดคำสอน) บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง
(ภาพการ์ดคำสอนขนาดใหญ่ คลิกที่นี่)

“คิดถึงพระพุทธเจ้าให้มาก ๆ
ท่านจะเสวยอะไร รองเท้าจะใส่ก็ยังไม่มี
อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น แต่ว่าอยู่ได้
ต้องกำหนดจิตไว้ก่อน ต้องเด็ดขาด
อย่างนี้เรียกว่าจริง

บวชจริง เรียนจริง
ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง

๔ จริงนี้ท่องเอาไว้
จริงนี่แหละคืออริยสัจ
คือ สัจจะ คือความจริง”

พระครูวินัยธรทรงศักดิ์ (หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก)
บทสัมภาษณ์ในนิตยสารซีเคร็ต

สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมจาก หลวงพ่อเอี้ยน เพิ่มเติมได้ที่
https://makkanuka.wordpress.com/

(การ์ดคำสอน) โลกนี้มีแค่ขณะเดียว ตอนนี้

คลิกฟังธรรมบรรยายนี้ ได้ที่คลิปนี้
https://www.youtube.com/watch?v=1Wmomc0Du2U
โลกนี้สำหรับทุกคนมีอยู่แค่ขณะตรงหน้าเท่านั้นเอง อดีตอยู่ที่ไหนครับ อยู่ในใจ ที่สร้างขึ้นมาเอง แล้วก็ทุกข์เอง อนาคตก็อยู่ในใจ แล้วก็ทุกข์เอง สร้างเอง กังวลเอง
โลกนี้มีอยู่แค่นี้วินาทีตรงหน้า วินาทีอื่นไม่เคยมี ไม่เคยมีอยู่จริง ท่านจะมีทีละขณะ ทีละขณะ
ถ้าผมบอกว่าเราจะบรรยายกันจนถึงห้าโมงเย็น ตอนนี้ห้าโมงเย็นอยู่ไหน ดูเหมือนกับว่าอยู่ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ถ้าห้าโมงเย็นมาถึงจริงๆ มันจะคือตอนไหน
ตอนนี้
ตอนที่ผมปล่อย(พัก)เมื่อซักครู่ประมาณบ่ายสามโมงยี่สิบนาที แล้วก็บอกว่าให้ทุกคนเข้ามาเจอกันอีกครั้งตอนสี่โมง เหมือนกับสี่โมงอยู่ในอนาคต แต่พอสี่โมงมาถึงจริงๆ ทุกคนเข้ามานั่ง
ผมอยู่ตรงนี้
สี่โมงคือตอนไหนครับ
ตอนนั้น
ก็คือตอนนี้ของตอนนั้น
ตอนนี้ ก็คือตอนนี้
ถ้าห้าโมงเย็นมาถึงมันก็จะคือตอนนี้ ของตอนนั้น
ทุกขณะในชีวิตของเรามีอยู่แค่ตรงหน้า ทุกข์ที่เกิดขึ้นมาได้เพราะเราคิดเอาเอง อดีตที่ไม่ยอมลืมเพราะมันอยู่ในใจ แล้วเราก็ปรุงแต่งสร้างมันขึ้นมา มันไม่เคยมีอยู่จริง เราเอาซากของที่ไม่มีจริงมานั่งปรุงแต่งกันเอง
ถ้าผมบอกว่า ความจริงอยู่ที่โน่น ความคิดอยู่ที่นี่ ความทุกข์อยู่ที่นี่
ความจริงกับความทุกข์อยู่กันคนละที่
แต่เราเลือกที่จะอยู่ในความทุกข์ คือความคิดปรุงแต่ง มันเหมือนเราอยู่ในห้องมืด ห้องสี่เหลี่ยม มืดๆ พอเราออกไปเจอความจริง เราหยุดคิด เราออกมาพบกับความจริง แต่เดี๋ยวแป๊ปเดียวเราก็จะเปิดประตูแล้วเข้าไปอยู่ในห้องมืด แล้วก็ปิด แล้วก็เข้ามาอยู่ในความคิดของตัวเอง
เห็นภาพไหมครับ
พอท่านรู้ลมหายใจ การกระทบมีอยู่จริงๆ ท่านเปิดประตูออกจากห้องมืด มานั่งอยู่ในห้องจริงได้แป๊ปหนึ่ง ท่านไม่คุ้น ท่านเปิดประตูแล้วก็กลับไปอยู่ในห้องมืด ไปอยู่ในความคิดใหม่
ถ้าท่านไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หัวกระเซอะกระเซิง กำลังคุ้ยเขี่ยขยะกิน ท่านมองดู “..อืม..คนบ้า..”
เขาก็นั่งกินของที่อยู่ในถังขยะ แล้วเขาก็ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข กินอยู่ดีๆ เดี๋ยวเขาก็ค่อยๆ เศร้า น้ำตาไหลออกมา แล้วก็ร้องไห้ เดี๋ยวๆ ก็หัวเราะเอ๊กอ๊ากๆ เดินยิ้มแย้มแจ่มใส เดี๋ยวก็หน้าเศร้าทุกข์ลงไป เราบอกว่า เขาบ้า
ช่วยนิยามคำว่าบ้า หรือคนบ้าหน่อย พวกนี้มันหลงอยู่ในคิด ไม่สามารถออกมาอยู่โลกความจริงได้ เราเรียกเขาว่า คนบ้า
แล้วเราบ้าหรือดี
เราเคยออกจากคิดเราบ้างหรือเปล่า เดี๋ยวเราก็หัวเราะ ถ้าขายอะไรได้เยอะหน่อย เดี๋ยวก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ขายได้กำไร นั่งบ้าอยู่คนเดียว นั่งยิ้มบ้าอยู่คนเดียว วันไหนขายไม่ดีวันไหนโดนโกง นั่งเศร้า มีคนมาชวนกินข้าว “…ไม่เอาล่ะ กินไม่ลง ถูกโกง…”
นั่งจมอยู่ในคิด หลงเข้าไปในโลกมืด สร้างภพของอสุรกาย ของอะไรต่ออะไร ปิดประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างใน มืดๆ
พระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ แสดงว่าท่านอยู่บนความจริง ส่วนคนในโลกอยู่ในห้องมืด ทีนี้พอค่อยๆ ให้ขยับออกมาจากห้องมืด ไม่คุ้น เหมือนนางอาย ออกมาได้แป๊ปหนึ่งต้องวิ่งกลับเข้าไปในห้องมืดใหม่ แล้วก็หลงอยู่ในคิด ในโลกมืดของตัวเอง ที่สร้างกรอบความคิดเอาไว้
ค่อยๆ เห็นความจริงอย่างนี้นะครับ ออกมาจากคิด เพราะทันทีที่ท่านคิด ท่านก็จะหลง
กี่โมงแล้วล่ะ?
เวลาที่เราพูดถึงผ่านกันไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อไหมว่าเมื่อท่านตัดเวลาที่เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเพราะไม่มีอยู่จริง ตัดอนาคตที่ยังมาไม่ถึงซึ่งก็ไม่มีอยู่จริง มันจะเหลือขณะเดียวตอนนี้
ที่บ้านใครมีลูก ใครมีพ่อแม่ ใครมีคนรัก สามี ภรรยาอยู่ที่บ้าน อยู่ที่บ้านหรืออยู่ในใจ ลองถามตัวเอง
ถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาแต่ละคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง กำลังใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ปัญหาคือเราเอาพวกเขามาไว้ในใจนี่แหละ แล้วก็ปรุงแต่งปั้นแต่งมันขึ้นมา เป็นสุขเป็นทุกข์เข้าไปเรื่อยๆ
โลกนี้มีอยู่วินาทีเดียว เอาเป็นวินาทีก่อน ให้เข้าใจตรงนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นจะได้เข้าใจว่า ที่หลงไปสุขหลงไปทุกข์กับอดีตกับอนาคต คือของที่ไม่ได้มีอยู่จริง
ถ้าใครสูญเสียคนรักน่ะ จบไปแล้ว ใครเคยสูญเสียของที่ตัวเองทุกข์เศร้า มันผ่านไปหมดแล้ว
แต่ทำไมมันยังทุกข์อยู่ เพราะไปดึงเรื่องนั้นกลับเข้ามา แล้วก็โลมเลียอยู่ในห้องมืด ออกมาพบความจริงก็เห็นหมดแล้ว มันมีอยู่แค่นี้
ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงนี้มีอะไรที่ไหนล่ะ
มีอยู่แค่นี้
แล้วก็จะมีอยู่อย่างนี้ มีอยู่แค่นี้
ถ้า Trim (ตัด) สิ่งที่ไม่มีอยู่ออกจริง มันจะเหลืออยู่แค่นี้ อดีตเอาออก อนาคตเอาออก มันจะเหลือแค่นี้ ท่านจะมีอย่างนี้ไปจนกายแตกทำลาย จนถึงวินาทีที่เราตาย ความตายจะคือตอนนี้ของทุกคน
ตอนนี้พร้อมจะตายหรือยังครับ ไม่?
เพราะฉะนั้น เมื่อความตายมาถึง มันคือตอนนี้
ไม่ใช่อนาคต
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

ดูธรรมบรรยายในหลักสูตร มัคคานุคา ก-ฮ
จัดโดยโรงพยาบาลสมุทรปราการ ร่วมกับชมรมกัลยาณธรร­ม
วันที่ 18-20 กรกฎาคม 2558

ศึกษาธรรมะ ข้อคิด ข้อธรรมต่างๆ
อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

(การ์ดคำสอน) เพราะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด

(การ์ดคำสอน) จงทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
คลิกดาวโหลดดูภาพขนาดใหญ่ได้ที่นี่

ในการกระทำใดๆ ก็ตาม
เราทำได้เพียง “ดีที่สุด”
หากผลที่ออกมาไม่เป็นดังหวัง
เราก็จะทำมันอย่างดีที่สุดอีกครั้ง
เเละเเม้ผลที่ออกมาเป็นดังหวังเเล้ว
เราก็จะทำมันอย่างดีที่สุดต่อไป
เเล้ววันหนึ่ง เราก็จะเป็นคนที่
“ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดตลอดเวลา”
โดยที่ใจไม่จำเป็นต้องเป็นสุขหรือทุกข์
กับความคาดหวังเลยก็ได้
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ “นิพพานชั่วพริบตา”

นิพพานชั่วพริบตา

ท่านสามารถหาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ที่
– ร้านนายอินทร์ : http://goo.gl/oSFjEP
– ร้านซีเอ็ด : https://se-ed.com/s/bXrE
– ร้านสวนยินดี : http://suanyindee.lnwshop.com/p/11
– ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
– หรืออ่านได้ในห้องสมุดทั่วไป

(การ์ดคำสอน) มีความสุขที่ทำเข็มวินาทีให้เดิน

(การ์ดคำสอน) มีความสุขที่ทำเข็มวินาทีให้เดิน
ดูภาพขนาดใหญ่ได้ที่นี่

เพราะเข็มวินาทีเป็นปัจจัย เข็มสั้นเดินถึงเลข ๑๒ จึงเกิดขึ้นทุกๆ การเคลื่อนของเข็มวินาที แม้เพียงติ๊กเดียว ส่งผลต่อการเคลื่อนของเข็มสั้น เราดูไม่ออกว่าเข็มสั้นเคลื่อนที่
แต่เรารู้ดีว่าทุกการเคลื่อนของเข็มวินาทีเป็นเหตุปัจจัยให้เข็มสั้นเคลื่อนที่แน่นอน เราเองใจร้อนเสมอที่อยากเห็นเข็มสั้นเดินให้ได้เร็วดั่งใจ
ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นมีความสุขที่ทำเข็มวินาทีให้เดินล่ะ ถ้าทำอย่างนั้นไม่ต้องไปสนใจให้เข็มสั้นเดินไปจนถึงเลข ๑๒ ด้วยซ้ำ เผลอแป๊บเดียวก็จะได้ยินเสียงนาฬิกาตีที่เลข ๑๒ อย่างแน่นอน
นี่ล่ะคือการปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นที่แท้จริง
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
(๔ ก.ย. ๕๗)

ศึกษาธรรมะข้อธรรมต่างๆ เพิ่มเติมจาก
อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

สมัครเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่
สวนยินดี

(การ์ดคำสอน) ที่ทำไปมันคุ้มกันแล้วหรือ?

ชีวิตหนึ่งๆ นี้น้อยนัก
เมื่อเทียบกับสังสารวัฏอันยาวนาน

แต่ผลที่กระทำไว้เพียงเพื่อเงินที่อยากได้
มากินใช้ (แบบเกินๆ) นั้น
จะก่อเป็นวิบากกรรม
ที่ต้องชดใช้แบบไม่คุ้มกันเลย
ต้องฆ่า ต้องโกง ต้องพูดปด
เพ้อเจ้อ เพื่อให้ได้เงินมา

แล้วเงินที่ได้มาเอามาทำอะไรหรือ
ได้มาก็ซื้อกระเป๋าแพงๆ รถหรูๆ
มาให้เกิดความสุขจอมปลอม

คุ้มกันแล้วหรือ
กับความสุขชั่วแว้บเดียว
ซึ่งเป็นของหลอกๆ

อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
เนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ “กลัวเกิด ไม่กลัวตาย”

(อ่านแบบ PDF) https://makkanuka.files.wordpress.com/2015/02/gluagerd.pdf
(อ่านแบบ เล่ม) http://suanyindee.lnwshop.com/product/5/กลัวเกิดไม่กลัวตาย

ศึกษาธรรมะต่างๆ เพิ่มเติมจากอาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ได้ที่
https://dhammaway.wordpress.com/tag/อ-ประเสริฐ-อุทัยเฉลิม/

สมัครเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่
http://www.suanyindee.net

ติดตามข่าวสารได้ที่ FB: ผู้เดินตามมรรค
https://www.facebook.com/groups/605097869545632/

(การ์ดคำสอน) เพราะคือความรักที่แท้จริง ความรักที่บริสุทธิ์

ทำไมวันนี้ความรักถึงนำมาซึ่งความทุกข์ แต่หลายคนก็จะเถียงในใจว่า “..ไม่ใช่ ความรักทำให้โลกแจ่มใส ทำให้โลกกลายเป็นสีชมพู ทำให้โลกมีพลัง..”
ผมไม่เถียงถ้าใช้ได้ถูกต้อง แต่วันนี้เอาเข้าจริงๆ วันที่ท่านรักแล้วคนรักจากไป ยังไงก็ทุกข์ แล้ววันนี้มันมีอะไรที่ไม่พลัดพรากจากกันบ้าง เราจะย้อนกลับมาดูก่อนว่ารากเหง้าหรือต้นตอของความรักที่เราเข้าใจผิดมันจึงนำมาซึ่งทุกข์ มีเพลงๆ หนึ่งที่บอกว่าด้วยรักและผูกพัน อันนี้แหละคือความจริง เพราะทุกครั้งที่ต้นรักของเราก่อขึ้นไปมันจะมีสายใยของความผูกพันเข้าไปเกาะเกี่ยวไว้ตลอดเวลา นี่จึงทำให้ความรักทั้งหลายมีพื้นฐานที่เตรียมจะทุกข์อยู่แล้วเพราะความผูกพัน วันนี้เราจึงสงสัยว่าแล้วรักแบบไหนหรอที่มันจะไม่ทุกข์ ถ้ารักแล้วไม่ผูกพันเลยนี่แปลว่าอะไร
ผมจะเริ่มอธิบายอย่างง่ายๆ ก่อน ถ้าสมมุติต่อหน้าท่านมีเด็กสองคน คนแรกอ้วนจ้ำม่ำ น่ารัก ผิวขาว อีกคนหนึ่งที่ยืนข้างๆ ตัวดำมาจากซูดาน ผมเกร็ง ตัวผอม ลีบ เอาแบบไม่ต้องใช้จริตอะไรมาก เดินเข้าไปอย่างที่ท่านปรารถนาเลยใช้ความน่ารักเดินเข้าไปหา ท่านจะเดินเข้าไปหาเด็กคนไหน แน่นอนเราจะเดินเข้าไปหาเด็กขาว ตัวอ้วน น่ารัก จ้ำม่ำ ทำไมเราไม่เข้าไปหาเด็กดำ “..มันไม่น่ารักเลย..”
อันนี้คือความจริง เอาล่ะ วางเด็กคนนั้นลงแล้วถอยหลังมาใหม่ แล้วเปลี่ยนใหม่เที่ยวนี้ให้เข้าไปอุ้มด้วยความเมตตา คำตอบอยู่ที่ท่าน ท่านจะเดินเข้าไปอุ้มเด็กคนไหน หรือท่านอาจจะเดินเข้าไปหาเด็กซูดานผอมเกร็งทันทีเลยก็ได้เพราะรู้สึกว่าน่าสงสาร มีเมตตา
เห็นหรือยังครับว่าคำว่ารักกับเมตตามีความต่างกันอยู่ในตัว ถ้าเราเปลี่ยนความรักที่มีต่อลูกเป็นความเมตตา เราจะทำทุกอย่างที่เราทำอยู่เหมือนเดิมแต่มีสิ่งหนึ่งที่หายไป
คำว่าผูกพันมันนำมาซึ่งความคาดหวังแล้วก็ปรารถนาที่จะได้อะไรตอบแทนมาบ้าง อย่างน้อยที่สุดคือรอยยิ้มหรือความรักตอบก็ยังดี นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนให้กับลูกแล้วเราก็บอกว่า “..เราไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับลูกนะ เราไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทน..” แต่ทุกครั้งจริงๆ แล้ว ในความปรารถนาดีของท่าน มันแอบแฝงลึกๆ เอาไว้ ซึ่งเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่นั่นนำมาซึ่งทุกข์
ในการเลี้ยงลูกแล้วก็ปรารถนาดี ดีทั้งทั้งนั้นหละ ดีทั้งนั้นแต่ถ้าเราอยากรู้ว่าต้นเหตุจริงๆ ของมันคืออะไรที่ทำให้เกิดความทุกข์กันทั้งหมด มันมาจากสิ่งนี้ล่ะ แล้วถ้าเข้าสู่การปฏิบัติธรรมจนกระทั่งถอนแล้วก็ชำระสิ่งนี้ลงได้ แล้วตกลงเราต้องทำยังไง ก็ไม่ต้องรักลูกกันหรอ เปล่าหรอก
ความรักมันมีความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่บริสุทธิ์จริงๆ เป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะใครๆ ก็ตาม
เวลาฟังดูง่ายแล้วเราก็รู้สึกว่าเราจะเป็นคนนั้นด้วย
ในครั้งหนึ่งที่สวนโมกข์ มีการบรรยายของภิกษุณีท่านหนึ่ง อายุท่านตอนนั้นในวันที่ท่านบรรยายน่าจะประมาณ 85 ผมก็ไปนั่งฟังอยู่ด้วย ในตอนแรกที่ผมไปผมอยากจะดูว่าคนจากที่อื่นๆ เขาปฏิบัติธรรมกันยังไงนั่นคือจุดมุ่งหมายที่ผมไป แต่หลังจากผมฟังท่านปฏิบัติแล้วผมกลับไม่ได้สนใจเรื่องปฏิบัติมากนักมีเรื่องหนึ่งที่โดนผมมากๆ คือเรื่องที่ท่านเล่า
ท่านบอกว่าตอนที่ท่านอยู่ที่อังกฤษ ท่านเป็นคนอังกฤษ ตอนนั้นท่านอายุ 19 ท่านบอกว่าท่านมีความปรารถนามากๆ เลยที่อยากจะไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศอินเดีย ท่านบอกว่าไม่รู้ทำไม ท่านก็จึงไปทำเรื่องที่สถานฑูตอินเดียในประเทศอังกฤษเพื่อจะขอไปปฏิบัติธรรมโดยไม่บอกคุณแม่ เพราะว่ากลัวคุณแม่จะห้าม หลังจากที่ทำเรื่องแล้วก็สถานฑูตอนุมัติวีซ่าเรียบร้อย ก็จึงกลับมาบอกคุณแม่ บอกว่าหนูอยากจะไปปฏิบัติธรรมที่อินเดีย จะเป็นการไปแล้วไม่กลับมาอีก
เราเป็นพ่อเป็นแม่ถ้ามีลูกอายุ 19 มาบอกเราอย่างนี้ ท่านจะตอบลูกว่ายังไงครับ ผมไม่ทราบหรอกว่าท่านจะคิดยังไงก็ตาม แต่สิ่งที่เราจะฟังคือเราจะฟังจากคุณแม่ของภิกษุณีท่านนี้
คุณแม่ของภิกษุณีท่านนี้ตอบว่า “เอาสิลูก ถ้ามันเป็นความปรารถนาของลูก ถ้ามันเป็นความสุขของลูก แม่พร้อมจะช่วยเหลือ ลูกต้องการอะไรบอกแม่มาเลย ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบินหรืออะไรก็ได้” เพียงแต่แม่บอกว่าเขียนจดหมายมาหาแม่บ้าง หรือถ้ามีเวลาว่างก็แวะกลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้าง
จากนั้นเธอก็ไป เธอหายไปหลายสิบปีไปอยู่ที่อินเดียแล้วก็ติดต่อทางบ้านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณแม่เขียนจดหมายไปหาเธอว่า ซื้อตั๋วเครื่องบินให้กลับมาบ้าน แต่เป็นตั๋วไปกลับไม่ต้องห่วง เธอก็จึงบินกลับมาเยี่ยมบ้าน เธอได้พบกับน้าสาวซึ่งเป็นน้องของคุณแม่ น้าสาวบอกเธอว่าหลังจากที่เธอไปแล้วก็ได้คุยกับคุณแม่ คุณแม่ของเธอคุณแม่ของภิกษุณีท่านนี้ คุณแม่ของภิกษุณีท่านนี้เล่าให้น้าสาวฟังว่า ถ้าได้เกิดชาติหน้าฉันใดแล้วมีโอกาสได้เกิดอีกแล้วเลือกเกิดได้ ขอให้ได้เกิดเป็นแม่ของภิกษุณีท่านนี้อีก เพราะหากภิกษุณีท่านนี้ไปเกิดอยู่ในท้องของคนอื่นที่ไม่เข้าใจ เชื่อว่าเธอจะต้องถูกขัดขวางจากคุณแม่คนนั้นแน่ๆ
ภิกษุณีท่านนี้เธอบอกว่าหลังจากเธอได้ยินน้าสาวพูดอย่างนี้ เธอรู้เลยว่าเธอมีแม่ที่ประเสริฐมากๆ แม่ไม่เคยพูดว่าแล้วเธอไม่รักแม่แล้วหรออยู่ๆ เธอก็ทิ้งแม่ไป ไม่เคยมีคำพูดเหล่านี้ออกจากปากแม่เลย แต่แม่กลับช่วยเหลือแล้วก็ดูแลทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นความปรารถนาของลูกแล้วสิ่งที่ลูกทำก็เป็นสิ่งถูกต้อง ไม่ใช่ว่าต้องเป็นไปดั่งใจของแม่หรือว่าต้องเป็นไปตามที่คุณแม่คาดหวัง แต่ว่านี่เป็นความสุขและเป็นความปรารถนาดีของลูก แล้ววันนี้ภิกษุณีท่านนี้ก็เป็นภิกษุณีที่ดังไปแล้วทั่วโลก แล้วการปฏิบัติของเธอก็เป็นที่น่ายกย่อง แล้วก็เชิดชู แล้วก็สรรเสริญ น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ถ้าในวันนั้นคุณแม่ขัดขวาง วันนี้จะไม่มีภิกษุณีดีๆ ที่อยู่ในโลกนี้เลย
ตัวอย่างนี้จึงทำให้เราได้เริ่มกลับมาสะท้อนแล้วก็ย้อนกลับมาที่ตัวเรา แน่นอนที่สุดผมว่าคุณแม่ทางบ้านกำลังมีเสียงคัดค้านในหัวเต็มไปหมด แต่เอาเถอะท่านจะคิดยังไงก็ตามแต่นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงๆ หากท่านไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ ผมว่าลองหาสมดุลกันหน่อยดีไหม สมดุลระหว่างความรักความห่วงใยที่มีต่อคนที่เราบอกว่าเรารัก ตัวอย่างพวกนี้มีกันอยู่มากมาย ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จก็ดีไม่ประสบความสำเร็จก็ดี แต่ความสำเร็จในชีวิตทุกคนมองไปที่ทรัพย์สินเงินทองแล้วก็ตำแหน่งหน้าที่
สิ่งหนึ่งที่เราลืมไปสำหรับคนที่เรารักก็คือ ความสุข
สิ่งที่ลูกพยามทำให้เราเป็นเพียงต้องการให้แม่มีความสุขหรือเปล่า ที่ให้ได้แม่ปรารถนาแล้วก็ทำให้ได้ดั่งใจแม่ แต่ลูกไม่เคยมีความสุขในสิ่งนั้นเลย ลูกยินยอมที่จะทิ้งความสุขของตัวเองทั้งหมด เพื่อให้แม่ได้มีความสุขตามที่แม่ปรารถนา แต่แม่เองกลับไม่เคยให้สิ่งนี้กับลูกเลย การเลี้ยงลูกวันนี้ เราจึงต้องกลับมาหาสมดุลจริงๆ ที่มีทั้งผสานประโยชน์ของผู้รับ แล้วก็ผู้ให้
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ส่วนหนึ่งจากรายการ “สุขทุกวัน 7 วัน 7 กูรู”
AMARIN TV (5 ธันวาคม 57)
https://www.youtube.com/watch?v=g0fAdXnCBg0

สามารถดูคลิปวีดีโอ อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ในรายการนี้ทั้งหมดฉบับเต็มได้ที่นี่
https://goo.gl/yJKEAm

สมัครเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่
http://suanyindee.net/